การกลับมาร้อนแรงอีกครั้งของ เวโรจน์ (ชนานันท์) ป้อมบุปผา
แม้โอกาสที่จะได้เล่นนั้นมีไม่มากนัก แต่ด้วยหน่วยก้านและดีกรีโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ที่มีรุ่นพี่อย่าง ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน, กวินmร์ ธรรมสัจจานันท์ และรวมไปถึง สารัช อยู่เย็น ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ทำให้สื่อทุกสำนักฟันธงว่าหัวหอกรายนี้จะมีอนาคตที่สดใสรออยู่
ทว่าห้วงเวลานั้นการแข่งขันของกิเลนผยองสูงลิ่ว ชนานันท์ จึงย้ายออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ เพื่อนตำรวจ ซึ่งก็มีผลงานที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง
กระทั่งฤดูกาล 2012 ที่ไปแจ้งเกิดเต็มตัวกับ โอสถสภา กับฟอร์มอันร้อนแรงและพัฒนาการที่ก้าวกระโดดถึงขั้นเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมในซีซั่น 2013 จนถูกหลายสโมสรให้ความสนใจ
แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญของ ชนานันท์ ก็เกิดขึ้นใน เอเชียนเกมส์ 2014 ที่เขาเป็นศูนย์หน้าตัวหลักของทีมชุดนั้นร่วมกับ อดิศักดิ์ ไกรษร
เขาได้รับบาดเจ็บในเกมที่ถล่มอินโดนีเซีย 6-0 ซึ่งสิ่งที่ทำให้ประสบเหตุดังกล่าวนั้นมาจากการแสดงความดีใจที่พังสกอร์สำเร็จ แล้วต้องพักยาวถึง 5 เดือน
พอฟิตสมบูรณ์ ชนานันท์ กลับมาโลดแล่นบนฟลอร์หญ้าอีกครั้ง ทั้งยังถูก เมืองทอง ดึงตัวกลับไปค้าแข้งในถิ่นเก่าในฤดูกาล 2015 แต่ผลงานของเขาไม่เปรี้ยงเหมือนวันวาน
ซีซั่น 2016 เขาถูกปล่อยให้ บีอีซี เทโรศาสน (โปลิศ เทโร เอฟซี ในปัจจุบัน) ใช้งาน ทว่าก็ยังไร้วี่แววฟอร์มเก่งเช่นกัน
จากนั้น ชนานันท์ ก็ไปต่อที่ สุพรรณบุรี เอฟซี (2016-2019) รวมไปถึงสองสโมสรใหญ่อย่าง แบงค็อก ยูไนเต็ด (2019-2023), บีจี ปทุม ยูไนเต็ด (2024-2025) ซึ่งได้แชมป์ฟุตบอลถ้วยมาประดับบารมี
แม้จะพอมีประตูที่น่าจดจำอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้เป็นแนวรุกตัวหลักของทั้งงบียูและกระต่ายแก้ว ซึ่งทำให้ต้องตัดสินใจมาหาความท้าทายใหม่กับ อยุธยา ยูไนเต็ด ก่อนเปิดซีซั่น 2025-26
จาก ชนานันท์ ถึง เวโรจน์ ที่แฟนฟุตบอลอาจจะไม่คุ้นชิน ทว่าพอเปลี่ยนชื่อ ผลงานของดาวยิงวัย 33 ปี ก็ดูดีมีสง่าขึ้นทันที
แม้เกมนัดแรกในฐานะสมาชิกใหม่นักรบอโยธยาจะไร้สกอร์ แต่เมื่อถึงนัดที่สอง เขาใช้ประสบการณ์และความเฉียบขาดทำประตูทีมเก่าอย่าง เมืองทอง ได้สำเร็จ
ประตูแรกมาจากการวิ่งสอดหาที่ว่าง แล้วโหม่งตุลตาข่าย
ประตูที่สองเลือกที่จะหาพื้นที่ในกรอบเขตโทษ แล้วสังหารด้วยความเยือกเย็น
สองประตูที่ เวโรจน์ (ชนานันท์) ซัดใส่กิเลนผยองนั้นบ่งชี้ให้เห็นถึงคุณสมบัติของศูนย์หน้าชั้นยอดชัดๆ
ตลอดทั้ง 90 นาที ในสนามแม้จะไม่ได้เล่นหัวหอกตัวเป้าอย่างที่เคย แต่เขาก็ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างดีเลิศ ซึ่งสิ่งนี้เองแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมที่จะกลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง
ในวัย 33 ปี อาจจะเป็นปลายทางของอาชีพค้าแข้งของนักเตะหลายคน แต่สำหรับ เวโรจน์ มันคือจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งกับบทบาทใหม่ และสโมสรใหม่ที่เขารู้สึกได้ถึงความท้าทาย
การตัดสินใจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความกระหายและความมุ่งมั่นที่จะกลับมาเป็นหัวใจสำคัญในแนวรุกอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เพียงตัวเลือกสำรอง
ผลงานของเขาในเกมกับ เมืองทอง นั้นไม่ใช่แค่การยิงเข้าประตู แต่มันคือการประกาศให้แฟนบอลทั้งประเทศได้รับรู้ว่า "ผมยังอยู่ตรงนี้" และพร้อมแล้วที่จะกลับมาสร้างสีสันให้กับวงการฟุตบอลไทย อีกครั้ง
เวโรจน์ ไม่ใช่นักเตะที่พึ่งพาเพียงความรวดเร็วหรือพละกำลังอีกต่อไป แต่เขาใช้ประสบการณ์, ความเข้าใจในเกมและการอ่านทางบอลที่เฉียบคม เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเอง รวมไปถึงเพื่อนร่วมทีม
การขยับหาพื้นที่ว่าง, การเคลื่อนที่อันชาญฉลาดและความนิ่งในการจบสกอร์ คืออาวุธสำคัญที่ทำให้เขากลับมาน่าจับตามองอีกครั้ง
แน่นอนว่าเส้นทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การแข่งขันใน ไทยลีก นั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
หากยังคงรักษามาตรฐานและความมุ่งมั่นได้เช่นนี้ ชื่อของเขาจะไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวในอดีต แตจะเป็นเรื่องราวที่กำลังเขียนบทใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย
นี่คือการกลับมาที่ร้อนแรงอีกครั้งของ เวโรจน์ (ชนานันท์) ป้อมบุปผา อย่างแท้จริง