ดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกัน 5 วันรวด
ซีเอ็นบีซี รายงานว่า ดัชนี S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้นในวันศุกร์ (25 ก.ค.) และปิดตลาดสูงขึ้นในรอบสัปดาห์ หลังจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทต่างๆและความคืบหน้าล่าสุดด้านดีลการค้าสหรัฐ
ดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมเพิ่มขึ้น 0.40% และปิดตลาดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งที่ 14 ของปี ที่ 6,388.64 จุด ดัชนีแนสแด็ก Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.24% ปิดที่ 21,108.32 จุด ซึ่งเป็นการปิดตลาดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งที่ 15 ในปี 2568 ดัชนีทั้งสองยังทำสถิติสูงสุดใหม่ระหว่างวันในช่วงการซื้อขาย
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average เพิ่มขึ้น 208.01 จุด หรือ 0.47% ปิดที่ 44,901.92 จุด ดัชนีหุ้น 30 ตัวปิดตลาด ห่างจากระดับปิดตลาดสูงสุดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ 45,014.04 จุด อยู่เพียงประมาณ 0.25%
ดัชนีหลักทั้งสามตัวปิดตลาดสัปดาห์ด้วยการเพิ่มขึ้น ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้นประมาณ 1.3% ในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่แนสแด็กซึ่งเน้นหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% และดัชนี S&P 500 โดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5%
วันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 ปิดตลาดทำสถิติสูงสุดเป็นวันที่ห้าติดต่อกัน โดยดัชนีปิดเหนือ 6,300 จุดเป็นครั้งแรกในวันจันทร์ ขณะเดียวกัน แนสแด็กก็ปิดตลาดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึงสี่ครั้งในสัปดาห์นี้ โดยทะลุ 21,000 จุดในวันพุธ
เส้นทางสู่จุดสูงสุดตลอดกาลในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา รวมถึงรายงานผลประกอบการของบริษัท Alphabet ที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
หุ้น Verizon ก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกันหลังจากผลประกอบการของบริษัทโทรคมนาคมแห่งนี้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในสัปดาห์นี้ราคาหุ้น Alphabet ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% และ Verizon พุ่งขึ้น 5%
คาดตลาดกระทิงยังวิ่งต่อ
บริษัทกว่า 82% จาก 169 บริษัทในดัชนี S&P 500 ที่รายงานผลประกอบการจนถึงปัจจุบัน สามารถทำผลงานได้ดีกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ ตามข้อมูลจาก FactSet
“ตลาดกระทิงยังคงอยู่ โดยได้รับแรงหนุนหลักจากปัจจัยพื้นฐานที่เอื้ออำนวย” เทอร์รี แซนด์เวน หัวหน้านักกลยุทธ์ด้านหุ้นของ U.S. Bank Wealth Management กล่าวกับซีเอ็นบีซี “อัตราเงินเฟ้อทรงตัว อัตราดอกเบี้ยอยู่ในกรอบจำกัด และกำไรมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับหุ้นที่จะมีแนวโน้มสูงขึ้น เรายังคงมองว่า การเปิดรับความเสี่ยงของนักลงทุนจะยังคงอยู่ต่อไปในช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการนี้”
นอกเหนือจากผลประกอบการแล้ว ข้อตกลงล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้ายังช่วยผลักดันให้ตลาดปรับตัวสูงขึ้นไปอีก เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศข้อตกลงการค้า “ครั้งใหญ่” กับญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงภาษี “ต่างตอบโต้” 15% ประธานาธิบดียังกล่าวในสัปดาห์นี้ว่า สหรัฐฯ และอินโดนีเซียได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าแล้ว
ทรัมป์หารือปธ.อียูวันอาทิตย์
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า เขาคาดว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงเพิ่มเติมก่อนถึงเส้นตายภาษีนำเข้าในวันที่ 1 สิงหาคมของสัปดาห์หน้า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปอาจเป็นหนึ่งในข้อตกลงเหล่านั้น ดังที่อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป โพสต์บน X ในช่วงปลายวันศุกร์ว่าเธอและทรัมป์ตกลงที่จะพบกันที่สกอตแลนด์ในวันอาทิตย์เพื่อหารือเกี่ยวกับการค้า
“ภาษีศุลกากรยังคงเป็นประเด็นที่มีความไม่แน่นอน และความคิดเห็นจากบริษัทต่างๆ ยังคงสะท้อนถึงความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้” แซนด์เวนกล่าวต่อ “เมื่อคุณพิจารณาความคิดเห็นเกี่ยวกับภาษีศุลกากรที่กำลังดำเนินอยู่ คุณพิจารณาถึงความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย-ยูเครน อิสราเอล-อิหร่าน และอื่นๆ ท่ามกลางสถานการณ์ทั้งหมดนี้ ตลาดหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ในมุมมองของเรา ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งกลับคืนมา นั่นคืออัตราเงินเฟ้อดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การควบคุม”
นักลงทุนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับสัปดาห์ที่คึกคักที่สุดของฤดูกาลประกาศผลประกอบการในสัปดาห์หน้า เนื่องจากบริษัทในดัชนี S&P 500 กว่า 150 แห่งมีกำหนดประกาศผลประกอบการรายไตรมาส ซึ่งรวมถึงบริษัทในกลุ่มเจ็ดนางฟ้า “Magnificent Seven” เช่น Meta Platforms และ Apple
สัปดาห์หน้าเป็นสัปดาห์ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีกำหนดการประชุมอีกครั้ง คาดว่าผู้กำหนดนโยบายจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเป้าหมายปัจจุบันที่ 4.25-4.5%