ประวัติศาสตร์สโมสรโลก
ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เข้าแข่ง FIFA Club World Cup คราวนี้ในฐานะทีมที่มีผลงานเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลังดีเป็นอันดับสองรองจาก บาเยิร์น มิวนิค นะครับ ไม่ได้เข้าร่วมในฐานะแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2024/25
สิทธิ์ในการเป็นแชมป์ยุโรปซีซั่นที่เพิ่งจบลงไปของเปแอสเชจะถูกนำไปใช้ในอีกรายการปลายปีนี้ มันคือรายการที่มีรูปแบบเหมือน FIFA Club World Cup ที่เราเคยคุ้นเคยมาก่อนนั่นแหละ คือนำเอาแชมป์จากทวีปต่าง ๆ มาฟาดแข้งกัน โดยแชมป์จากโซนยุโรปและอเมริกาใต้จะได้บายไปยืนรอในรอบลึก ๆ
รายการที่ยอดทีมปารีเซียงจะไปเล่นปลายปีนี้มีชื่อว่า FIFA Intercontinental Cup..
สรุปง่าย ๆ ว่า ศึกฟุตบอลสโมสรชิงแชมป์โลกเดิมที่ฟาดแข้งกันทุกปี คัดเฉพาะแชมป์แต่ละทวีป 6 ทีมบวกเจ้าภาพอีก 1 ทีมมาเตะกันโดยแชมป์ยุโรปกับอเมริกาใต้ได้ยืนรอในรอบรองชนะเลิศนั้นแยกออกเป็น 2 สาย
สายแรกคือชื่อและตัวรายการ
สายที่สองคือรูปแบบการแข่งขัน
ตัวรายการ FIFA Club World Cup ไปต่อในชื่อเดิม แต่เปลี่ยนรูปแบบใหม่ จากที่มีแค่ 6-7 ทีมเพิ่มเป็น 32 ทีม จากที่เตะกันปีละครั้งขยับเป็น 4 ปีครั้ง มันคือรายการเดียวกับที่กำลังฟาดแข้งกันอยู่ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่สหรัฐอเมริกานี่แหละ (Mono 29 และ Monomax ถ่ายทอดสด)
ส่วนสายที่เป็นรูปแบบการแข่งขันเดิมคือเอาเฉพาะแชมป์ทวีปในปีนั้น ๆ มาเตะกันทุกปี ก็ยังคงดำเนินต่อไปเช่นกัน ในชื่อที่ FIFA หันไปหยิบเอาชื่อ Intercontinental Cup ที่เคยรุ่งเรืองและไม่ได้ใช้มาร่วม 20 ปีเข้าไปแล้วกลับมาปัดฝุ่นใช้ใหม่
กลายเป็น FIFA Intercontinental Cup
รายการนี้จะเตะกันทุกปีเฉพาะแชมป์ทวีปทั้ง 6 บวกเจ้าภาพอีก 1 ทีม ปรับรายละเอียดเล็กน้อย ทีมจากยุโรปไม่ต้องเตะรอบรองชนะเลิศแล้วแต่ไปรอเล่นเกมเดียวนัดชิงเลย เพราะผลงานกินขาดกวาดแชมป์สโมสรโลก 16 จาก 17 ครั้งล่าสุด
เตะกันช่วงปลายปี อย่างที่ เรอัล มาดริด บินไปตบ ปาชูก้า 3-0 ที่ลูซาอิล ในกาตาร์ ปลายปีที่แล้ว ฉลองแชมป์แล้วก็บินกลับสเปนไปกรำศึกน้อยใหญ่ตามโปรแกรมปกติต่อ
FIFA Intercontinental Cup เพิ่งจะมีขึ้นเป็นปีแรกก็คราวนั้น ปี 2024
เท่ากับว่าเวลานี้ฟุตบอลที่เกี่ยวกับสโมสรชิงแชมป์โลกของฟีฟ่าจะมีคาบเกี่ยวกันอยู่ 2 รายการนะครับ
1. FIFA Club World Cup เตะ 4 ปีครั้ง มี 32 ทีมเข้าร่วม เริ่มปีนี้เป็นปีแรก กำลังเตะกันอยู่ที่สหรัฐฯ
2. FIFA Intercontinental Cup เตะทุกปี เฉพาะแชมป์ทวีปจากทั้ง 6 โซนเท่านั้น เริ่มเมื่อปี 2024 ที่ เรอัล มาดริด เป็นแชมป์
แต่โดยศักดิ์ศรีแล้วต้องยึดถือตามตัวรายการเดิมคือ FIFA Club World Cup มาก่อน เพียงแต่ในอีก 3 ปีต่อไปที่ FIFA Club World Cup ไม่มีเตะ แชมป์ FIFA Intercontinental Cup ก็อาจจะถือเป็นแชมป์สโมสรโลกทีมรองได้เหมือนกัน
ปี 2025 นี้ เปแอสเชจึงลุ้นความสำเร็จแบบยิ่งยวดชนิดที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน นั่นคือเป็นทริปเปิลแชมป์ ลีกเอิง-เฟร้นช์คัพ-ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปแล้ว และอาจจะต่อด้วยแชมป์สโมสรโลก FIFA Club World Cup ที่เพิ่งจะผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายสด ๆ ร้อน ๆ แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ที่จะเจอกับ สเปอร์ส ในเดือนสิงหาคม แล้วยังพ่วงท้ายด้วยแชมป์ FIFA Intercontinental Cup ที่ตัวเองยืนรอในนัดชิง
กับความเป็นมาของฟุตบอลสโมสรชิงแชมป์โลก ก่อนหน้านี้เราไม่รู้จักหรอกครับว่า FIFA Club World Cup คืออะไร มันเพิ่งนำมาใช้เมื่อปี 2000 นี้เอง เมื่อฟีฟ่าเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ด้วย ปรับเปลี่ยนจากศึกแชมป์ชนแชมป์ ยุโรป-อเมริกาใต้ เป็นแชมป์สโมสรโลกที่แท้จริง เพราะมีแชมป์จากทุกทวีปเข้าแข่ง
ก่อนการเกิดขึ้นของ FIFA Club World Cup เรารู้จักแต่ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ หรือ โตโยต้า คัพ
อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ (Intercontinental Cup) กับ โตโยต้า คัพ (Toyota Cup) คือรายการเดียวกัน ฟาดแข้งกันเป็นประเพณีทุกปีมาตั้งแต่ปี 1960 ในชื่อ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ก่อนที่ โตโยต้า จะเข้ามาสนับสนุนและใช้ชื่อ โตโยต้า คัพ มาตั้งแต่ปี 1980
ไอเดียของรายการนี้เรียบง่ายชัดเจน นำเอาแชมป์ยุโรปกับแชมป์อเมริกาใต้มาเตะกัน เพื่อตัดสินว่าใครกันแน่ที่เก่งที่สุด เพราะสำหรับโลกลูกหนังแล้ว มันก็มีแค่ 2 ทวีปนี้เท่านั้นที่แย่งชิงความยิ่งใหญ่กัน
หลายคนคงคุ้นเคยกับความคลาสสิกของโตโยต้า คัพ ช่วงทศวรรษ 1980 ต่อเนื่อง 1990 มีถ่ายทอดสดให้ชมกันเป็นประจำทุกปี
สนามกีฬาแห่งชาติกรุงโตเกียว เตะกันนัดเดียวรู้เรื่องไม่ต้องเหย้าเยือนให้เสียเวลา นักเตะยอดเยี่ยมได้รางวัลเป็นรถยนต์โตโยต้าคันงามที่จอดสวยเด่นอยู่หลังประตู
คนเต็มอัฒจันทร์ แดดสวย ฟ้าโปร่ง แต่อากาศหนาวยะเยือก นักเตะละตินหลายคนต้องใส่ถุงมือลงเล่น บางปีฟาดฟันกันท่ามกลางหิมะขาวโพลน
นิยามของคำว่าคลาสสิกอาจอยู่นี้ ตรงที่เรื่องนั้น ๆ พาเราดำดิ่งไปกับบรรยากาศและอารมณ์เก่า ๆ ได้มากแค่ไหน
-----------------
ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ Tribuna de Imprensa ของบราซิลระบุว่าจุดเริ่มต้นของฟุตบอลสโมสรโลกอาจมาจากการพูดคุยกันระหว่าง โจอัว ฮาเวล้านจ์ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลที่ในเวลาต่อมาจะก้าวขึ้นไปเป็นประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ กับ ฌาคส์ ก๊อดเดต์ นักข่าวชาวฝรั่งเศสเมื่อปี 1958
หนึ่งปีก่อนหน้านั้น ก๊อดเดต์ รับหน้าที่จัดการและดูแลทัวร์นาเม้นต์ ตูร์กนัว เดอ ปารีส (Tournoi de Paris) ฉลองการก่อตั้งสโมสรครบรอบ 25 ปีของ ราซิ่ง คลับ เดอ ปารีส
เชิญ 3 ทีมเข้าร่วมการแข่งขัน.. เรอัล มาดริด แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ, ร็อต-ไวสส์ เอสเซ่น แชมป์เยอรมัน ในฐานะที่เยอรมันตะวันตกคือแชมป์โลกเวลานั้น และ วาสโก ดา กาม่า แชมป์ประจำรัฐ ริโอ เด จาเนโร
เวลานั้นฟุตบอลบราซิลยังไม่ได้เป็นรูปแบบลีกทั่วประเทศอย่างปัจจุบัน มีเพียงการแข่งขันประจำรัฐต่าง ๆ วาสโก ดา กาม่า คือแชมป์แห่งรัฐริโอ เด จาเนโร แต่หนังสือพิมพ์ทั่วยุโรปประโคมข่าวว่านี่คือแชมป์บราซิล
วาสโก ดา กาม่า กับ เรอัล มาดริด ชนะในรอบรองฯ ได้ทั้งคู่ ก่อนที่ทีมจากเมืองกาแฟจะเอาชนะราชันชุดขาว 4-3 ในนัดชิงชนะเลิศท่ามกลางแฟนบอลกว่า 65,000 คนในสนามปาร์ก เดส์ แพร็งซ์
นัดชิงวันนั้นเป็นที่พูดถึงกันเป็นครั้งแรกในฐานะ "the best team of Europe vs the best team of South America"
ชัยชนะของ วาสโกฯ เหนือ เรอัล มาดริด ครั้งนั้น ตามมาด้วยแชมป์โลกของบราซิลปี 1958 ที่สวีเดน ทำให้แฟนบอลทั่วยุโรปได้ตื่นตัวว่า ณ อีกฟากฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกนั้นมีฟุตบอลที่อาจจะดีกว่าพวกเขาอยู่
ศึกแชมป์ชนแชมป์เกิดขึ้นจนได้ในที่สุดเมื่อปี 1960 ในชื่อ Intercontinental Cup
เตะกันแบบเหย้า-เยือน บินข้ามทวีปกันไปมา
ยูฟ่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากสหพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ (CONMEBOL) ขณะที่ฟีฟ่ารับรองได้เพียงแค่ให้เป็นเกมอุ่นเครื่องเท่านั้นด้วยตามหลักการแล้วการเตะกันเองระหว่างยุโรปกับอเมริกาใต้ แล้วจะมาทึกทักเอาว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลกนั้นคงไม่ใช่
ปี 1960 ยังถือเป็นปีที่เหมาะเจาะด้วยเพราะฟุตบอล โกปา ลิเบร์ตาดอเรส เพิ่งจะเกิดขึ้นพอดีในปีนั้น มันมาแทนที่ศึก South American Championship of Champions ที่มา ๆ หาย ๆ เตะกันล่าสุดก็ต้องย้อนกลับไปปี 1948
ศึกอินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ครั้งแรกสุดจบลงด้วยการคว้าแชมป์ของ เรอัล มาดริด บุกไปเสมอ เปนญารอล 0-0 ถึงอุรุกวัย ก่อนกลับมาไล่ทุบ 5-1 ที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว
ปี 1962 ความสนใจของรายการนี้ขยายไปทั่วโลกด้วยนักเตะแชมป์โลกวัย 22 ปีที่ชื่อ เปเล่ และทีมซานโตส
บราซิลเพิ่งจะคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ติดต่อกันมาหมาด ๆ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า ขณะที่เพื่อนร่วมทีมของเปเล่ทั้ง กิลมาร์, เมาโร, เมนกัลวิโอ, คูตินโญ่ และ เปเป้ ร่วมกันสร้างสรรค์ความเพริศพริ้งในสนามจนได้รับฉายา O Balé Branco หรือบัลเล่ต์สีขาว
เบนฟิก้าแชมป์ยุโรปปี 1962 ที่มีซูเปอร์สตาร์หนุ่มอย่าง ยูเซบิโอ ในวัย 20 ก็ยังไม่รอด ถูก เปเล่ และซานโตสสอนบอลแบบไป-กลับ เกมแรกเปเล่ยิง 2 ประตูในชัยชนะ 3-2 ที่มาราคาน่า เกมที่สองหนักกว่าเดิม "ไข่มุกดำ" ซัดแฮตทริกพาทีมบุกถล่มเหยี่ยวลิสบอนถึง เอสตาดิโอ ดา ลุซ 5-2
ซานโตสชุดนั้นคือโคตรบอลของแท้และดั้งเดิม แถมปีต่อมายังป้องกันแชมป์ได้อีกด้วยการอัด เอซี มิลาน ในเกมที่ต้องเตะกันยืดเยื้อถึง 3 นัด
อย่างไรก็ตามในยุคทศวรรษ 1960 ฟุตบอลอินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ เริ่มมีภาพลักษณ์ด้านลบ เกมในสนามรุนแรงเกินความจำเป็น เข้าบอลกันหนัก ไล่หวดกันโหด บันทึกบอกไว้ว่าทีมจากอาร์เจนติน่าและอุรุกวัยไล่เตะนักเตะจากยุโรปอย่างน่าเกลียดยามเล่นต่อหน้ากองเชียร์ของตัวเอง
เมื่อประกอบกับชะตากรรมของทีมชาติบราซิลที่เปเล่ถูกไล่เตะอย่างไม่ปรานีในฟุตบอลโลก 1966 ที่อังกฤษ ความยากลำบากในการเดินทาง โปรแกรมเตะที่อัดแน่น ค่าใช้จ่ายที่สูง แฟนบอลไม่ค่อยสนใจ สโมสรในยุโรปจึงรู้สึกไม่คุ้มค่าเหนื่อยและความเสี่ยง
เหตุการณ์ที่ปะทุขึ้นเหมือนภูเขาไฟระเบิดเมื่อปี 1969 ทำให้ทีมจากยุโรปต่างระอาที่จะเดินทางมาแข่งในดินแดนละติน
นักเตะเอสตูเดียนเตส เด ลา ปลาต้า แห่งอาร์เจนติน่า ประเคนแข้ง (และเข่า และหมัด) ใส่นักเตะ เอซี มิลาน ในเกมที่สองที่ใช้สนาม ลา บอมโบเนร่า ของโบคา จูเนียร์ส เป็นรังเหย้าต้อนรับทีมรอสโซเนรี่ หลังเกมแรกไปแพ้มาที่ ซาน ซิโร่ 0-3
มันเป็นเกมที่เต็มไปด้วยความสกปรก รามอน ซัวเรซ ต่อย เนสเตอร์ คอมบิน กองหน้ามิลานจนจมูกหักเลือดไหลอาบเสื้อและกางเกง รายงานข่าวบอกว่านักเตะเอสตูเดียนเตสก่อสงครามประสาทโยนลูกบอลเข้าใส่กลุ่มผู้เล่นมิลานตั้งแต่ตอนอบอุ่นร่างกาย ขณะที่ระหว่างเกมมีทั้งผลัก เตะ และกัด
เกมจบลงด้วยการเจ็บหนักของนักเตะมิลาน 2 คน คอมบินเองจมูกหักเจ็บตัวไม่พอยังถูกตำรวจอาร์เจนไตน์จับข้อหาหนีทหาร เขาเกิดในอาร์เจนติน่า แต่ไปเล่นฟุตบอลอาชีพในยุโรป และรับใช้ทีมชาติฝรั่งเศส
เกมนั้นปะทุหนักจนกลายเป็นปัญหาด้านการเมือง เพราะอาร์เจนติน่าเองก็กำลังลุ้นเสนอชื่อเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 1978 อยู่ด้วย รามอน ซัวเรซ โดนแบนจากฟุตบอลระดับนานาชาติไป 5 ปี ขณะที่ อัลเบร์โต้ โปเลตติ นายทวารเอสตูเดียนเตส ที่ต่อยจานนี่ ริเวร่า เตะคอมบิน และทะเลาะกับแฟนบอลหลังจบเกม โดนลงโทษแบนตลอดชีวิต
ไปเตะในอเมริกาใต้ มีแต่ความโหดร้ายและการเจ็บตัวรออยู่ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม แชมป์ยุโรปทีมแรกที่ถอนตัวไม่ไปเตะรายการนี้เมื่อปี 1971 ลองเปิดใจให้อีกครั้งด้วยการตอบรับไปเตะกับ อินดิเปนเดียนเต้ ในปี 1972
แต่ผลลัพธ์ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แฟนบอลต้อนรับอาคันตุกะอย่างโหดร้าย โยฮัน ครัฟฟ์ ได้รับจดหมายขู่ฆ่าหลายฉบับ เกมหนักนักเตะอาแจ๊กซ์ถูกไล่เตะ ต่อย ครัฟฟ์โดนอัดจนเจ็บเล่นต่อไม่ได้ ช่วงพักครึ่งนักเตะอาแจ๊กซ์จะไม่กลับลงไปเล่นครึ่งหลังอยู่แล้ว โค้ช สเตฟาน โควัคส์ ต้องเกลี้ยกล่อมจนลูกทีมยอมเล่นต่อ
ปีต่อมา อาแจ๊กซ์ ในฐานะแชมป์ยุโรป 3 สมัยซ้อนไม่มองศึกแชมป์ชนแชมป์อีกเลย
นอกจากปัญหาเรื่องความรุนแรงในสนามแล้ว ค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปและความสนใจที่ถดถอยลงเรื่อย ๆ ของแฟนบอลจากภาพลักษณ์ที่ย่ำแย่ของตัวรายการก็เป็นอีกอุปสรรคและหนึ่งในเหตุผลที่แชมป์ยุโรปหลาย ๆ ทีมตัดสินใจไม่ไปเตะ
ตลอดทศวรรษ 1970 มีเพียงปี 1972 (อาแจ๊กซ์) กับ 1976 (บาเยิร์น) เท่านั้นที่แชมป์ยุโรปตอบรับการแข่งขัน ที่เหลือคือการให้รองแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ เป็นฝ่ายไปเตะแทนเกือบทั้งสิ้น (ปี 1971, 1973, 1974, 1977 และ 1979)
ปี 1975 กับ 1978 หนักที่สุด เพราะแชมป์ไม่ยอมไปไม่พอ รองแชมป์ก็ยังไม่ยอมไปอีกทีม.. บาเยิร์น (แชมป์) กับ ลีดส์ (รองแชมป์) ปี 1975 ลิเวอร์พูล (แชมป์) กับ คลับ บรูช (รองแชมป์) ปี 1978 สองปีนั้นจึงไม่มีการแข่งขันอินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ
กระทั่งการเข้ามาของ โตโยต้า บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นเมื่อปี 1980 รายการจึงกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง
เปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันจากเหย้า-เยือนเป็นนัดเดียวจบ ที่สังเวียนแข้งกลางคือ สนามกีฬาแห่งชาติกรุงโตเกียว เตะกันทุก ๆ เดือนธันวาคมหรือเต็มที่ก็เลยไปเดือนมกราคม ทุกสโมสรเซ็นสัญญาว่าถ้าได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ จะต้องไปเตะไม่บิดพลิ้ว
ปี 1979 คือปีสุดท้ายที่ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ เตะกันแบบเหย้า-เยือน (โอลิมเปีย ของปารากวัย ชนะ มัลโม ของสวีเดนที่เข้าแข่งแทน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-0 กับ 2-1) และยังเป็นปีสุดท้ายที่ใช้ชื่ออินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ แบบที่ไม่มีผู้สนับสนุน
ปี 1980 เปิดศักราชในชื่อใหม่ โตโยต้า คัพ (Toyota Cup) แชมป์ทีมแรกคือ นาซิอองนาล จากอุรุกวัย เอาชนะ ฟอเรสต์ 1-0 ที่โตเกียว
อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ/ โตโยต้า คัพ ฟาดแข้งกันในรูปแบบนี้มาตลอดจนถึงปี 2004 ก็สิ้นสุด เปิดทางให้รายการใหม่ไอเดียเดิมของฟีฟ่าอย่าง FIFA Club World Cup เข้ามาแทน
FIFA Club World Cup ครั้งแรกเตะกันที่บราซิลตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2000 เวลานั้นใช้ชื่อ FIFA Club World Championship โครินเธียนส์ ชนะจุดโทษ วาสโก ดา กาม่า เพื่อนร่วมชาติบราซิล การแข่งขันมี 8 ทีมแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ฝั่งยุโรปมี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 1999 กับ เรอัล มาดริด แชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ปี 1998
ปีศาจแดงร่วงรอบแรก ราชันชุดขาวได้อันดับสาม
FIFA Club World Championship เว้นช่วงจัดไป 4 ปีระหว่างปี 2001-2004 ด้วยปัญหาหลายอย่าง หลัก ๆ มาจากการล้มละลายของ International Sport and Leisure (ISL) คู่ค้าด้านการตลาดของฟีฟ่า ก่อนจะกลับมาเตะกันอีกครั้งในปี 2005 คราวนี้ควบรวมกับ โตโยต้า คัพ พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น FIFA Club World Cup
อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ/ โตโยต้า คัพ กับ FIFA Club World Cup จึงมีปีที่เตะคาบเกี่ยวกันอยู่หนึ่งปีคือปี 2000 โดย คลับเวิลด์คัพ เตะกันก่อนในเดือนมกราคม (แชมป์ยุโรปคือแมนฯ ยูไนเต็ด) ขณะที่โตโยต้า คัพ เตะในเดือนพฤศจิกายน (แชมป์ยุโรปกลายเป็น เรอัล มาดริด)
หลังจากกลับมาเตะกันอีกครั้งในปี 2005 และปรับจำนวนทีมให้อยู่ที่ 6-7 ทีม ตัวแทนจากบราซิลคว้าแชมป์ได้อีก 2 สมัยติด เซา เปาโล ชนะ ลิเวอร์พูล ปี 2005 และ อินเตอร์นาซิอองนาล ชนะ บาร์เซโลน่า ปี 2006
เท่ากับว่า 3 สมัยแรกของ FIFA Club World Cup แชมป์เป็นบราซิลทั้งหมด
กระนั้นก็ตาม ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมาจนถึงครั้งล่าสุดเมื่อปี 2023 ยุโรปเอาคืนแบบทบต้นทบดอกเมื่อเป็นแชมป์ถึง 16 จาก 17 ปี มีเพียง โครินเธียนส์ เท่านั้นที่กู้หน้าให้ละตินอเมริกา เอาชนะเชลซีในปี 2012
ฟีฟ่ามีความคิดที่จะเพิ่มทีมเป็นมหกรรมลูกหนัง 32 ทีมและย้ายเวลาเตะจาก ธันวาคม หรือ มกราคม มาเป็นช่วงซัมเมอร์ตั้งแต่ปี 2016 แล้ว และสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้สำเร็จโดยจะมีขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2021 ที่ประเทศจีน มีทีมเข้าร่วม 24 ทีม แต่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ขึ้นมาเสียก่อน
แต่ในที่สุด ฟีฟ่าก็ได้เห็น FIFA Club World Cup ในรูปแบบ 32 ทีมและเตะกัน 4 ปีครั้งจริง ๆ มันเพิ่งจะเกิดขึ้นในปี 2025 นี้
-----------------
สรุป Timeline ของฟุตบอลสโมสรโลก
ปี 1960 เริ่มต้น Intercontinental Cup รูปแบบการแข่งขันเหย้า-เยือนระหว่าง แชมป์ยุโรปกับแชมป์อเมริกาใต้ เตะกันทุกปี เรอัล มาดริด คือแชมป์ทีมแรก เอาชนะ เปนญารอล จากอุรุกวัย 0-0 และ 5-1
ปี 1980 โตโยต้าเข้ามาเป็นผู้สนับสนุน เปลี่ยนชื่อรายการเป็น โตโยต้า คัพ (Toyota Cup) เตะนัดเดียวที่สนามกีฬาแห่งชาติกรุงโตเกียว แชมป์ทีมแรกคือ นาซิอองนาล จากอุรุกวัย เอาชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-0
ปี 2000 ฟีฟ่าจัด FIFA Club World Championship นำแชมป์จากทุกทวีปมาเตะกัน ปีแรกมีทีมเข้าร่วม 8 ทีม แชมป์ทีมแรกคือ โครินเธียนส์ เอาชนะจุดโทษ วาสโก ดา กาม่า ที่บราซิล
ปี 2001-2004 ไม่มีจัด FIFA Club World Championship
ปี 2004 อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ/ โตโยต้า คัพ ครั้งที่ 43 และครั้งสุดท้าย เอฟซี ปอร์โต้ ชนะจุดโทษ ออนเซ่ กัลดาส ของโคลอมเบีย
ปี 2005 FIFA Club World Championship กลับมาเตะกันอีกครั้ง ควบรวมกับ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ/ โตโยต้า คัพ เปลี่ยนชื่อเป็น FIFA Club World Cup มี 6-7 ทีมเข้าร่วมการแข่งขัน แชมป์ยุโรปกับแชมป์อเมริกาใต้ได้เข้าไปรอในรอบรองชนะเลิศ
ปี 2023 FIFA Club World Cup สิ้นสุดรูปแบบเดิม 6-7 ทีม เตะกันทุกปี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่ม ฟลูมิเนนเซ่ 4-0 ที่ ลูซาอิล, กาตาร์
ปี 2024 ไม่มีการแข่งขัน FIFA Club World Cup เพื่อให้แต่ละสโมสร รวมถึงเจ้าภาพและฟีฟ่า มีเวลาเตรียมการรับมือกับการแข่งขันรูปแบบใหม่ 32 ทีมที่จะเริ่มเตะกันในปี 2025
ปี 2024 ฟีฟ่ายังต้องการให้มีการวัดแชมป์ทวีปทุกปีต่อไป นำ Intercontinental Cup กลับมาปัดฝุ่นอีกครั้งในชื่อ FIFA Intercontinental Cup ใช้รูปแบบเดิมของ FIFA Club World Cup คือเอาเฉพาะแชมป์แต่ละทวีปมาเตะกัน 6-7 ทีม แชมป์จากยุโรปรอเล่นในนัดชิง เตะกันเป็นประจำทุกปี แชมป์ทีมแรกคือ เรอัล มาดริด เอาชนะ ปาชูก้า 3-0 ที่ ลูซาอิล, กาตาร์
ปี 2025 เปิดฉาก FIFA Club World Cup ครั้งแรก 32 ทีม 4 ปี/ครั้ง (กำลังแข่งขัน)
ปี 2025 (ธันวาคม) ศึก FIFA Intercontinental Cup ครั้งที่ 2 แข่งกันเป็นประจำทุกปี
-----------------
ทำเนียบแชมป์สโมสรโลก
-Intercontinental Cup (1960-2004)/ Toyota Cup (1980-2004)
3 สมัย - เรอัล มาดริด (สเปน)/ เอซี มิลาน (อิตาลี) 3 สมัย/ เปนญารอล (อุรุกวัย)/ นาซิอองนาล (อุรุกวัย)/ โบคา จูเนียร์ส (อาร์เจนติน่า)
2 สมัย - บาเยิร์น มิวนิค (เยอรมัน)/ เซา เปาโล (บราซิล)/ อินเตอร์ มิลาน (อิตาลี)/ ซานโตส (บราซิล)/ อินดิเปนเดียนเต้ (อาร์เจนติน่า)/ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม (ฮอลแลนด์)/ ยูเวนตุส (อิตาลี)/ เอฟซี ปอร์โต้ (โปรตุเกส)
-FIFA Club World Cup (2000, 2005–ปัจจุบัน)
5 สมัย - เรอัล มาดริด
3 สมัย - บาร์เซโลน่า
2 สมัย - บาเยิร์น มิวนิค/ โครินเธียนส์ (บราซิล)
-FIFA Intercontinental Cup (2024–ปัจจุบัน)
1 สมัย - เรอัล มาดริด
-รวมทั้งหมด
9 สมัย - เรอัล มาดริด
4 สมัย - บาเยิร์น มิวนิค/ เอซี มิลาน
3 สมัย - บาร์เซโลน่า/ อินเตอร์ มิลาน/ เปนญารอล/ นาซิอองนาล/ โบคา จูเนียร์/ เซา เปาโล
2 สมัย - ซานโตส/ อินดิเปนเดียนเต้/ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม/ ยูเวนตุส/ เอฟซี ปอร์โต้/ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (อังกฤษ)/ โครินเธียนส์
ตังกุย