สรุปการประมูลคลื่นความถี่ 2025 ของ กสทช. ใครได้อะไรไปบ้าง?
เช้าวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2025 เป็นอีกครั้งที่การสื่อสารของประเทศไทยต้องจดจำ เพราะเป็นวันที่มี การประมูลคลื่นความถี่ 5G/4G รอบใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประจำปี 2025 ได้เสร็จสิ้นลงแล้วอย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงกับการเคาะราคา 2 ครั้ง สะท้อนถึงความสนใจและกลยุทธ์ของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด
โดยในรอบนี้มีผู้เข้าประมูลแค่เพียง 2 รายคือ TRUE และ ADVANC (AIS) สองผู้เล่นหลักที่เข้าร่วมประมูล โดยแม้จะยังไม่มีการประกาศรายชื่อผู้ชนะในแต่ละคลื่นความถี่อย่างเป็นทางการ แต่การแข่งขันครั้งนี้ได้กำหนดทิศทางของการพัฒนาโครงข่ายโทรคมนาคมในอนาคตของการสื่อสารประเทศไทยได้อย่างดี
คลื่นที่ถูกใช้ประมูลเป็นอย่างไร
กสทช. ได้นำคลื่นความถี่ 4 ย่านความถี่ออกประมูล โดยมีผลลัพธ์ดังนี้:
คลื่น 850 MHz (2 ชุด): ไม่มีผู้สนใจประมูล สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการอาจมองว่าคลื่นความถี่ในย่านต่ำนี้ไม่ตอบโจทย์ความต้องการเชิงกลยุทธ์ในปัจจุบัน หรืออาจมีคลื่นความถี่ในย่านใกล้เคียงเพียงพอแล้ว
คลื่น 1500 MHz (11 ชุด): มีผู้เสนอราคา 1 ราย ได้ไป 4 ใบอนุญาต ด้วยราคาชุดละ 1,163,490,000 บาท รวมมูลค่า 4,653,960,000 บาท คลื่นย่านนี้มีความสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการรับส่งข้อมูล (Data Capacity) โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น
คลื่น 2100 MHz (3 ชุด): มีผู้เสนอราคา ได้ไปครบทั้ง 3 ชุด ด้วยราคาชุดละ 4,950,000,000 บาท รวมมูลค่า 14,850,000,000 บาท คลื่น 2100 MHz เป็นคลื่นหลักที่ใช้ในเทคโนโลยี 3G และ 4G ซึ่งยังคงมีความจำเป็นในการขยายโครงข่ายและรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ 5G
คลื่น 2300 MHz (7 ชุด): มีผู้เสนอราคา ได้ไปครบทั้ง 7 ชุด ด้วยราคาชุดละ 3,110,000,000 บาท รวมมูลค่า 21,770,000,000 บาท คลื่น 2300 MHz เป็นคลื่นย่านกลางที่เหมาะสำหรับการให้บริการ 4G/5G ในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นปานกลางถึงสูง ช่วยเพิ่มแบนด์วิดท์และรองรับการใช้งานที่หลากหลาย
มูลค่ารวมการประมูล: การประมูลครั้งนี้สร้างรายได้รวมให้กับประเทศทั้งสิ้น 41,273,960,000 บาท (ประมาณ 4.12 หมื่นล้านบาท)
สิ่งที่จะได้รับผลต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภค
แม้ว่าการประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของการเพิ่มรายได้ให้รัฐเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนาโครงข่ายและบริการโทรคมนาคมของประเทศไทย:
ยกระดับโครงข่าย: การได้คลื่นความถี่เพิ่มเติมจะช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถขยายโครงข่าย 4G/5G ให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดปัญหาความแออัดของโครงข่าย (Network Congestion) และเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อ
ศักยภาพ 5G: คลื่นความถี่ใหม่ๆ โดยเฉพาะในย่านกลาง จะเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันศักยภาพของ 5G อย่างเต็มที่ ทั้งในด้านความเร็วต่ำ (Low Latency) และการรองรับอุปกรณ์ IoT จำนวนมาก
การแข่งขันและนวัตกรรม: แม้จะมีผู้เข้าร่วมประมูลเพียง 2 ราย แต่การได้มาซึ่งคลื่นความถี่ใหม่ๆ จะกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในการนำเสนอบริการและแพ็กเกจที่น่าสนใจแก่ผู้บริโภค รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ
มาตรการกำกับดูแล: กสทช. ได้เพิ่มเงื่อนไขสำคัญ เช่น มาตรการส่งเสริมการแข่งขัน (เช่น การใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน, การจัดสรร 10% สำหรับ MVNO) และมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาพรวม
อนาคตที่กำลังจะมาถึง
เมื่อจบการประมูลแล้วก็ต้องมีสิ่งที่ดำเนินการต่อโดยมีรายละเอียดดังนี้
สำนักงาน กสทช. เตรียมประกาศรับรองผลการประมูลภายในวันที่ 6 กรกฎาคม 2568
ผู้ชนะการประมูลจะต้องชำระเงินงวดแรกในช่วงวันที่ 7-29 กรกฎาคม 2568
ผู้ใช้งานจะเริ่มสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงและประสิทธิภาพของโครงข่ายที่ดีขึ้นได้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
อย่างไรการประมูลครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ และเป็นตัวชี้วัดถึงความพร้อมของผู้ประกอบการในการลงทุนเพื่ออนาคตของโครงข่ายโทรคมนาคมไทยไม่น้อย และคาดว่าเราจะได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ๆ (แต่ค่าบริการจะถูกลงไหมต้องรอติดตามกันต่อไป)