เศรษฐกิจโลกเริ่มไม่สดใส เศรษฐกิจไทยเสี่ยงภาษี ลงทุนอย่างไร
หลังจากผ่านช่วงสงครามการค้าที่ตึงเครียด สถานการณ์การค้าโลกเริ่มชัดเจนขึ้น โดยมีข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญ และการชะลอมาตรการภาษีของสหรัฐฯ สู่วันที่ 1 สิงหาคม ส่งผลให้การส่งออกไทยเดือนพฤษภาคม 2568 เร่งตัวขึ้นถึง 18.4% โดยได้รับแรงหนุนจากการเร่งสั่งซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักรกลก่อนมาตรการภาษีใหม่
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกในขณะนี้เผชิญกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องในไตรมาส 2 ที่ 5.2% จากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลและการเน้นการส่งออก แต่ในประเทศเริ่มชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะยอดค้าปลีกที่เติบโตเพียง 4.8% ต่ำกว่าคาดการณ์ และการลงทุนสินทรัพย์ถาวรโต 2.8% โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงวิกฤติต่อเนื่อง สะท้อนความเสี่ยงในระยะยาวที่จีนต้องพึ่งพามาตรการกระตุ้นทางการคลังอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอลง ทั้งยอดค้าปลีกและการจ้างงานที่อ่อนแอลง และที่น่าเป็นห่วงคือเงินเฟ้อเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นเป็น 2.7% จาก 2.4% ในเดือนก่อน ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.9% โดยราคาสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาษี เช่น เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น และเสื้อผ้า เพิ่มขึ้น บ่งชี้ว่าภาษีศุลกากรเริ่มส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภค สร้างสถานการณ์ Mild Stagflation ที่ทำให้การลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดมีความยากลำบากมากขึ้น
ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่สูง เมื่อสหรัฐฯ ประกาศคงอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) สินค้าจากไทยไว้ที่ระดับ 36% ในจดหมายลงวันที่ 7 กรกฎาคม ในขณะที่ประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างอินโดนีเซียได้รับอัตราภาษีเพียง 19% หลังจากการเจรจาล่าสุด ซึ่งอาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันได้
จากรูปแบบการเจรจาของอินโดนีเซียและเวียดนาม พบว่าทั้งสองประเทศต่างยอมตกลงลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์เกือบทุกสินค้า และเพิ่มการสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
โดยอินโดนีเซียยอมซื้อพลังงาน 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้าเกษตร 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเครื่องบินโบอิ้ง 50 ลำ ขณะที่เวียดนามก็มีข้อตกลงในลักษณะเดียวกัน
หากไทยไม่สามารถใช้เงื่อนไขเดียวกันได้ โอกาสที่จะโดนภาษีในระดับสูงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลไทยอาจต้องพิจารณาลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เหลือศูนย์ในแทบทุกสินค้า รวมถึงเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ ให้มากขึ้นในหมวดสินค้าหลัก เช่น เครื่องมือเครื่องจักร เครื่องจักรกลการเกษตร และสินค้าทุนต่างๆ รวมถึงเครื่องบิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการค้าและอุตสาหกรรมไทยอย่างมีนัยสำคัญ
จากการวิเคราะห์ผลของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจไทย หากภาษีนำเข้าอยู่ในระดับ 21-36% เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวชะลอลง หรือแม้แต่อาจหดตัวได้ ซึ่งหมายความว่า เรามีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค
อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือกลุ่มอาหารแปรรูป (จ้างงาน 2.7 แสนคน) เครื่องหนัง สิ่งทอ และชิ้นส่วนยานยนต์ (จ้างงาน 4 แสนคน) ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานจำนวนมาก การปิดกิจการจะส่งผลให้เกิดการตกงานในวงกว้าง และกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศ
นอกจากนั้น ยังอาจได้รับผลกระทบจากกลุ่ม import flooding หรือที่โดนทุ่มตลาดจากจีน เช่น เครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งตามข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ภาคเหล่านี้จ้างงานรวมกว่า 7.4 แสนคน
ด้านการท่องเที่ยว ในครึ่งแรกของปี นักท่องเที่ยวจีนลดลงถึง 1/3 ทำให้นักท่องเที่ยวโดยรวมหดตัวกว่า 4.2% ผลจากปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมาที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหวาดกลัว แม้ว่านักท่องเที่ยวจากตะวันตกจะฟื้นตัวได้ดี แต่การกระจายตัวของรายได้ท่องเที่ยวลดลง
การเบิกจ่ายงบประมาณในส่วนของงบลงทุนปีงบประมาณ 2568 ปัจจุบันอยู่ที่ 35.1% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 41.7% หากรัฐบาลมีความเสี่ยงจากวิกฤติการเมืองที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น ก็จะยิ่งทำให้สามารถเร่งการเบิกจ่ายและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ล่าช้าได้
สัญญาณที่น่าเป็นห่วงคือการเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เงินเฟ้อล่าสุดติดลบ -0.25% เป็นเดือนที่สาม ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2568-2569 อยู่ที่ 0.5%-0.8% ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1-3% อย่างชัดเจน
สัญญาณจากพันธบัตร 3 เดือน-15 ปีที่ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายและเกิด Inverted Yield Curve บ่งชี้ว่าตลาดมองนโยบายการเงินตึงเกินไป ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงน่าจะลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว รุนแรง และเร่งด่วนเพื่อป้องกันเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
ท่ามกลางความท้าทายที่หนักหน่วง SET ที่บริเวณต่ำกว่า 1100 จุด คิดเป็น PER ปี 2568 ต่ำกว่า 12 เท่า ยังเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยประเมิน downside ของ SET มีโอกาสลงไปทดสอบบริเวณ 1080/1056 จุด แต่ในระดับดังกล่าวถือเป็นโซนที่เหมาะสำหรับการสะสมหุ้น
กลยุทธ์ลงทุนที่แนะนำคือ "Selective Buy" โดยมุ่งเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและสามารถต้านทานความผันผวนได้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ธีมหลักและ 3 ธีมเทรดดิ้ง
สำหรับธีมหลัก เริ่มจากหุ้น Earning Play ที่โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดยไตรมาส 2 ปี 2568 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ ขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโต YoY ได้ ทำให้หุ้นกลุ่มนี้น่าสนใจ เช่น ADVANC BCH CBG CPALL SCCC ที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง
ธีมที่สองคือหุ้น Defensive ที่ผันผวนต่ำและผลการดำเนินงานต้านทานความเสี่ยงภายนอกได้ดี มีผลกระทบจำกัดจากปัจจัยภายในและภายนอก อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ หุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ ADVANC BCH DIF ซึ่งเป็นหุ้นที่มีความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ
ธีมที่สามคือหุ้นปันผลคุณภาพดี โดยเฉพาะ SET50 ที่มี SETESG Rating A ขึ้นไป เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรครึ่งปีแรก 2568 และให้ Dividend Yield เกิน 2% เช่น ADVANC BBL PTT
ส่วนธีมเทรดดิ้งสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร ธีมแรกคือหุ้น Undervalue ที่มี PER และ PBV ต่ำกว่า -1 Standard Deviation และคาดให้ Dividend Yield ไม่ต่ำกว่าปีละ 3% เช่น BBL BCPG BDMS CPALL DIF PTT SIRI TIDLOR ซึ่งเป็นหุ้นที่ถูกประเมินค่าต่ำกว่าศักยภาพ
ธีมที่สองคือหุ้นท่องเที่ยวที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะการยกเลิกค่าเหยียบแผ่นดินชั่วคราวและมาตรการอื่นๆ ที่อาจตามมา เช่น ERW CENTEL AAV ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
ธีมสุดท้ายคือหุ้นที่คาดฟื้นตัวเร็ว หากเชื่อว่าการเจรจาจะทำให้สหรัฐฯ พิจารณาปรับลดภาษีไทยลงมาอยู่ที่ระดับ 20% หรือต่ำกว่า ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เช่น AMATA GPSC WHA ที่เป็นหุ้นนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภค
สถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนและคดีความของนายกรัฐมนตรีทำให้เสถียรภาพการเมืองมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะการผ่านงบประมาณ 2569 ที่หากล่าช้าอาจทำให้ GDP โต 0.5% น้อยลงจากแผน
ในระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยอาจมีความผันผวนจากปัจจัยการเมือง สำหรับนักลงทุน ควรติดตามพัฒนาการทางการเมืองใกล้ชิด รวมถึงความคืบหน้าของการเจรจากับสหรัฐฯ และการผ่านงบประมาณ 2569 ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี
ขอให้นักลงทุนโชคดี
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เศรษฐกิจโลกเริ่มไม่สดใส เศรษฐกิจไทยเสี่ยงภาษี ลงทุนอย่างไร
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
- “ภาษีทรัมป์” 36% ถล่มหุ้นไทย ลุ้น 1 ส.ค. ข้อเสนอถูกใจสหรัฐฯ เปิด 5 ความเป็นไปได้ แบบไหนเวิร์คสุด ?
- ส่งออกไทยจ่อวิกฤติ ภาษีทรัมป์กระแทก UOB คาดจีดีพีอาจติดลบ หากภาษีไม่ลด
- “พิชัย” มั่นใจ ทุกวิกฤตมีโอกาส จับมือเอกชนถอดรหัสนโยบายภาษี “ทรัมป์”
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath