ซื้อเน้นๆ เริ่มเล่นแจ๋ว แมนยูฯ พร้อมคืนชีพ จากภาวะ Mid-table Crisis?
ตลาดการซื้อขายผู้เล่นในช่วงฤดูร้อนนี้ของบรรดาสโมสรพรีเมียร์ลีกจัดว่าเป็นหนึ่งในช่วงตลาดการซื้อขายที่ดุเดือดที่สุดในรอบหลายปี
บรรดาทีมระดับหัวแถวต่างเสริมทัพนักเตะใหม่เข้ามาเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี, อาร์เซนอล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งลิเวอร์พูล ที่เปลี่ยนโหมดจากทีมจอมมัธยัสถ์มาเป็นเจ้าบุญทุ่ม (แบบสมาร์ทๆ) ที่มีโอกาสจะใช้เงินใกล้เคียง 500 ล้านปอนด์ในรอบตลาดเดียว
ทีนี้พอหันกลับมามองที่ทีม ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองผู้ดีบ้าง จนถึงวันนี้ รูเบน อโมริม ได้ลูกทีมหน้าใหม่เข้ามาเพียงแค่ 2 รายถ้วนคือ มาเตอุส คุนญ่า และไบรอัน เอ็มโบโม
โดยที่ล่าสุดล็อกเป้า ‘หมายเลข 9’ คนใหม่ไว้คือ เบนจามิน เซสโก จากแอร์เบ ไลป์ซิกไว้เป็นที่เรียบร้อย และผลงานในช่วงพรีซีซัน 2 นัดหลังสุดในการทัวร์ “พรีเมียร์ลีก ซัมเมอร์ ซีรีส์” ที่สหรัฐอเมริกาก็ยอดเยี่ยมด้วย
คำถามที่ชวนคิดกันสนุกๆคือ จากการเสริมทัพแบบนี้ และฟอร์มแบบนี้ พวกเขาพร้อมที่จะลบภาพทีม ‘วิกฤติกลางตาราง’ (Mid-table crisis) กลับมาเป็นทีมในกลุ่มหัวตารางของพรีเมียร์ลีกอีกครั้งไหวไหมนะ?
โปรดสร้างทีมใหม่ให้ฉัน
ภายหลังจากการจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 15 ของพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นผลงานที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรนับตั้งแต่ฤดูกาล 1989/90 และเก็บแต้มได้น้อยที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1973/74 ที่พวกเขากระเด็นตกชั้น สิ่งที่ทุกคนคาดหวังคือการที่รูเบน อโมริม และฝ่ายบริหารจะช่วยกันประกอบร่างใหม่ให้กับทีม
กองหน้าตัวเป้าใหม่, นักเตะหน้าต่ำ (หมายเลข 10 ใหม่), กองกลางตัวรับใหม่, วิงแบ็กขวาใหม่, เซ็นเตอร์ฮาล์ฟใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือผู้รักษาประตูคนใหม่
แน่นอนว่าการจะซื้อนักเตะใหม่เยอะขนาดนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากสำหรับตลาดการซื้อขายในยุคปัจจุบัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่แมนฯ ยูไนเต็ด ได้นักเตะเข้ามาเพียงแค่ 2 รายเท่านั้น คือมาเตอุส คุนญา และไบรอัน เอ็มโบโม ย่อมทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามพอสมควร
โดยเฉพาะในดีลของเอ็มโบโม่ ที่เสียเวลานานเกือบ 48 วัน (ไม่ใช่ 48 ชั่วโมง) กว่าจะได้ตัวโดยที่สุดท้ายก็ต้องยอมจ่ายตามที่เบรนต์ฟอร์ดต้องการอยู่ดี
แบบนี้มันจะช้าไปไหม จะทันเปิดฤดูกาลไหม? คือสิ่งที่หลายคนตั้งคำถาม
Less is more เสริมน้อยแต่มาก
แต่หากมองในแง่ดีแล้ว 2 รายสำหรับทีมชุดใหญ่ที่ซื้อเข้ามา (โดยยังไม่นับดีเอโก ลีออน แบ็กดาวรุ่งอีกราย) ถือเป็นนักเตะในระดับเกรดเอของพรีเมียร์ลีกทั้งสองคน ที่ผ่านการรับรองด้วยตัวของพวกเขาเองว่า เก่งจริงและมีประสบการณ์ในลีกที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก
คุนญา 62.5 ล้านปอนด์ จาก วูล์ฟส เป็นผู้เล่นสารพัดประโยชน์ได้ในแนวรุกที่มีชั้นเชิงการเล่นสูง มีการจบสกอร์ที่เฉียบคม ซึ่งในฤดูกาลที่ผ่านมาต้องบอกว่าผลงานจัดจ้านเข้าตากรรมการอย่างมาก
ขณะที่เอ็มโบโมนั้นเป็นหนึ่งในตัวรุกและตัวริมเส้นที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกในรอบหลายปีที่ผ่านมา เรียกว่าแม้จะอยู่กับทีมเล็กอย่างเบรนต์ฟอร์ดก็สามารถทำผลงานได้น้องๆ ผู้เล่นทีมใหญ่อย่าง บูกาโย ซากา หรือโม ซาลาห์ได้เลยทีเดียว
การเลือกผู้เล่นทั้งสองราย เป็นการสะท้อนถึง ‘นโยบาย’ ใหม่ของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่จะไม่เน้นการซื้อผู้เล่นที่เล่นในลีกต่างชาติราคาสูงเข้ามาให้เสียข้าวสุกอีก แต่จะซื้อผู้เล่นที่มีประสบการณ์พิสูจน์ตัวเองมาแล้วในพรีเมียร์ลีกเพราะมั่นใจผลตอบแทนได้มากกว่า
จุดนี้ถือว่า ‘ผ่าน’ และดีกว่าการทุ่มเงินไปกับผู้เล่นที่ไม่มีประสบการณ์
หมายเลข 9 ที่คุณเรียกมีโอกาสติดต่อได้
ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาแมนฯ ยูไนเต็ดกลับมามีข่าวกับผู้เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าหรือกองหน้าตัวเป้าอีกครั้ง
ปัญหาที่ผ่านมาคือการที่พวกเขาไม่ได้ไปเล่นในรายการใหญ่อย่างแชมเปียนส์ ลีก หรือแม้แต่รายการสโมสรยุโรปอื่นๆ ทำให้ขาดแรงดึงดูดที่แรงมากพอจะชวนให้ผู้เล่นที่สนใจอยากย้ายมาร่วมทีม และนั่นทำให้ไม่สามารถแย่งชิงตัวผู้เล่นที่หมายปองได้เลย
นักเตะที่อยู่ในข่ายก่อนหน้านี้มีตั้งแต่เลียม ดีแลป ที่ตอบตกลงกับเชลซีอย่างรวดเร็ว, วิคเตอร์ ยอเคเรส ที่เมินการร่วมงานกับเจ้านายเก่าอย่างรูเบน อโมริม เพื่อไปลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับอาร์เซนอล หรืออูโก เอคิติเก้ ที่ปฏิเสธพวกเขาและเลือกย้ายไปลิเวอร์พูล
อย่างไรก็ดีในเวลานี้ดูเหมือนแมนฯ ยูไนเต็ด จะกลับมามีความหวังอีกครั้งในตำแหน่งนี้ โดยช่วงก่อนนี้มีข่าวว่าพวกเขามีตัวเลือกอย่าง เบนจามิน เซสโก ศูนย์หน้าทีมชาติสโลวีเนีย ที่เคยพัวพันกับหลายสโมสรใหญ่แต่ยังไม่ได้ย้ายไปไหน และโอลลี วัตคินส์ กองหน้าดีกรีทีมชาติอังกฤษของแอสตัน วิลลา
แต่ล่าสุดดูเหมือนจะตัดชอยซ์ให้เหลือเพียงแค่เซสโกรายเดียว โดยที่ค่าตัวที่ทางไลป์ซิกต้องการนั้นต้องการันตีเงินอย่างน้อย 70 ล้านยูโร ไม่นับการจ่ายเพิ่มตามเงื่อนไข (add-ons) ต่างๆ
ขณะที่ตัวนักเตะเองสนใจที่จะย้ายมาเล่นกับแมนฯ ยูไนเต็ด แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยเป็นข่าวกับหลายสโมสรก็ตาม
ของดีที่พี่ไม่อยากเก็บ
นักเตะขาเข้าที่น้อยเกินไปอาจจะน่ากังวลน้อยยิ่งกว่านักเตะขาออกที่แทบขายใครไม่ออกเลย
ตั้งแต่ช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา รูเบน อโมริม ออกตัวชัดเจนว่าจะปล่อยนักเตะที่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมออกไปหลายรายไม่ว่าจะเป็น
- มาร์คัส แรชฟอร์ด
- อเลฮานโดร การ์นาโช
- แอนโทนี
- เจดอน ซานโช
- ไทเรลล์ มาลาเซีย
แต่จนถึงตอนนี้คนเดียวที่ได้ย้ายออกไปคือแรชฟอร์ด ซึ่งก็ไม่ใช่การขายขาดด้วยแต่เป็นแค่การปล่อยยืมตัวพร้อมเงื่อนไขในการขายขาดให้แก่บาร์เซโลนา แม้ว่าอย่างน้อยจะลดภาระเรื่องค่าเหนื่อยมหาศาลได้ตกปีละ 12 ล้านปอนด์ก็ตาม แต่ก็ถือว่าไม่เป็นไปตามแผนพอสมควร เพราะนักเตะดีกรีระดับนี้อย่างน้อยต้องขายได้ 40-50 ล้านปอนด์
เช่นกันกับรายของ การ์นาโช ที่เคยมีข่าวกับหลายสโมสรซึ่งคาดว่าจะทำรายได้กลับมาให้กับสโมสร (โดยเฉพาะในฐานะนักเตะ Homegrown ที่จะกลบตัวเลขหนี้สินตามกฎ PSR ได้เต็มๆ) อย่างน้อย 70 ล้านปอนด์ หรือแอนโทนีที่ทำได้ยอดเยี่ยมกับเรอัล เบติส ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลที่แล้วแต่สโมสรจากสเปนไม่มีเงินจะจ่ายค่าตัว 40 ล้านปอนด์ได้ไหว
รายของซานโชยิ่งหนักเพราะโดนเชลซีตลบหลังด้วยการขอจ่ายค่าปรับไม่ซื้อขาดตามสัญญาที่เคยตกลงกันด้วยเงินแค่ 5 ล้านปอนด์ กลายเป็นภาระคาราคาซังกับแมนฯ ยูไนเต็ด โดยยังมองหาสโมสรใหม่ไม่ได้
ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วเชื่อว่าในกลุ่มนี้ (รวมถึงมาลาเซีย) จะหาต้นสังกัดใหม่ได้ แต่สิ่งที่น่าผิดหวังคือนักเตะเหล่านี้ไม่สามารถสร้างรายได้กลับมาให้กับสโมสรได้มากอย่างที่คาดหวัง
และผลของมันคือตัวถ่วงรั้งไม่ให้สโมสรก้าวไปข้างหน้าได้ เพราะสถานะทางการเงินของพวกเขาอยู่ในขั้นวิกฤติ ขยับตัวไม่ถนัด
แต่ถ้าหากคลายปมด้วยการเคลียร์นักเตะเหล่านี้ออกไปได้บ้าง นั่นหมายถึงตำแหน่งอื่นๆ มีโอกาสจะได้เห็นนักเตะหน้าใหม่เข้ามาอีก ไม่ว่าจะเป็นผู้รักษาประตู หรือกองกลางตัวรับ
แกะยางมัดแกง ใช้แรงอย่างเดียวไม่ได้
อ่านมาทั้งหมดอาจจะกังวลสำหรับอนาคตของแมนฯ ยูไนเต็ด เพียงแต่หากสูดหายใจลึกๆ แล้วมองสถานการณ์อย่างใจเย็น (สุดๆ) อย่างน้อยจะพบว่าพวกเขาทำในสิ่งที่ถูกต้องและถูกทางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการ
- เสริมผู้เล่นที่ใช่มากกว่านักเตะค่าตัวแพงที่ดัง
- พยายามลดนักเตะที่เป็นปัญหา ไม่อยู่ในแผนการทำทีมออกไป
และข้อ 3. ที่สำคัญอย่างมาก คือการที่พวกเขาตระหนักดีถึงปัญหาภายในทีมว่ามีกี่จุด ตรงไหนบ้าง และพยายามที่จะแก้ไขปัญหาอย่างอดทน
ปฏิเสธไม่ได้ว่านับตั้งแต่ที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือในฤดูกาล 2012/13 เป็นต้นมาแมนฯ ยูไนเต็ดอยู่ในสภาพที่เละเทะจากการบริหารที่ผิดพลาดภายใต้เอ็ด วูดเวิร์ด มาตลอด ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นตลอดมาพันกันสลับซับซ้อน
ไม่ต่างอะไรจากยางมัดแกงที่ผูกกันแน่นและแกะได้ยากจนน่าหงุดหงิดใจ
วิธีการจะแก้ปัญหานั้นมีทั้งการใช้กรรไกรตัดยางให้ขาด หรือการตัดถุง เจาะถุง ซึ่งก็หมายถึงการใช้เงินอัดฉีดเข้าสโมสรล้างบางกันไปเลยยกทีมในแบบที่แมนฯ ซิตี หรือเชลซีทำให้เห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่แมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้ยุคการบริหารของเซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ไม่ว่าจะรักหรือชังอย่างน้อยเจ้าของสโมสรชาวอังกฤษผู้นี้ก็พยายามจะบริหารกิจการโดยมีเป้าหมายที่อยากจะเห็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้กลับมาเป็นสโมสรที่มีการบริหารที่ถูกต้องเหมาะสมตามครรลองคลองธรรม
เป็น Proper club ในแบบสโมสรดีๆ เขาเป็นกัน
ดังนั้นสิ่งที่เซอร์ จิมและทีมงานพยายามทำคือการค่อยๆ แก้ปัญหาไปทีละเปลาะอย่างอดทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในสนามหรือนอกสนาม เพื่อค่อย ๆ คลายปมออกทีละนิด ซึ่งสิ่งที่พยายามทำในเวลานี้คือการหา ‘ปม’ ที่ซ่อนอยู่ด้านใน
หากคลายออกมาได้ ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
แต่แน่นอนว่ามันต้องอาศัยความอดทนและเวลา เพราะปัญหาหมักหมมมาเป็นสิบปี จะแก้ในปีสองปีเป็นไปไม่ได้
ผนังปีศาจแดงกำแพงเหล็ก
อีกจุดที่สำคัญสำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด คือการที่พวกเขาต้องพยายามทำให้แฟนบอล ‘เชื่อ’ ให้ได้อีกครั้งว่านี่แหละคือทีมที่พวกเขาอยากจะเชียร์
เพราะประเมินจากความเป็นไปแล้วมีโอกาสที่แมนฯ ยูไนเต็ดจะได้ผู้เล่นเข้ามาเสริมทีมอีกไม่กี่ราย อาจจะมีนักเตะบางรายที่แฟนบอลไม่ประทับใจนักจากผลงานที่ผ่านมาแต่จำเป็นต้องใช้งานกันต่อไปก่อนอีกระยะหนึ่ง ซึ่งมีตั้งแต่ อังเดร โอนานา, ราสมุส ฮอยลุนด์ หรือคาเซมิโร
แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องพยายามซื้อใจแฟนๆ กลับมาให้ได้ผ่านการทุ่มเททำผลงานในสนาม
ทีมที่ตั้งใจเล่นกับทีมที่ไม่ตั้งใจเล่น ไม่ทุ่มเท แฟนบอลเขารู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้สายตา เพราะมันสัมผัสกันได้ด้วยหัวใจ
ลิเวอร์พูลเองก็เคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาก่อนในช่วงแรกที่เจอร์เกน คล็อปป์เข้ามาคุมทีม มิเคล อาร์เตตาก็เคยตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากกว่าจะกลับมาพาทีมได้รองแชมป์ติดต่อกัน 3 ฤดูกาล
ถ้าผ่านช่วงเปิดฤดูกาลสุดโหดไปได้แบบไม่สะบักสะบอมมากนัก มีผลงานที่ดีให้เห็นบ้าง ขวัญและกำลังใจของทีมน่าจะเริ่มกลับมาได้บ้าง บรรยากาศและทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งแฟนๆ เองก็มีงานในแบบของพวกเขาเองเหมือนกันในการต้องสนับสนุนทีมให้กลับมาให้ได้
โดยที่หากมองจากช่วงพรีซีซันที่แม้จะเริ่มต้นได้ไม่ดีเปิดหัวด้วยการเสมอกับลีดส์ ยูไนเต็ด แต่ใน 2 นัดล่าสุดพวกเขาคว้าชัยชนะได้หมดในการทัวร์ “ซัมเมอร์ ซีรีส์” ด้วยการชนะเวสต์แฮม และบอร์นมัธ ด้วยฟอร์มการเล่นที่ต้องบอกว่าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากก่อนหน้านี้
เล่นแบบนี้ถือว่าพอมองเห็นความหวัง เพราะตามรายงานจาก “วงใน” ดูเหมือนอโมริมจะจัดการเรื่องนักเตะที่บั่นทอนบ่อนทำลายบรรยากาศภายในทีม บรรยากาศที่เป็นพิษ (Toxic) ได้หายไปแล้ว
ดังนั้นถึงจะไม่ตั้งเป้าหมายไกลไปถึงแชมป์ในฤดูกาลนี้ (แต่ใครจะไปรู้?) และการติดท็อป 4-5 ก็เป็นงานที่ยากลำบากไม่น้อย แต่อย่างน้อยที่สุดยังแอบเชื่อลึกๆว่าแมนฯ ยูไนเต็ดจะทำได้ดีขึ้นกว่าฤดูกาลที่แล้ว และไม่ต้องเผชิญกับภาวะ “วิกฤติกลางตาราง” อีกแน่นอน
เอาใจช่วยนะปีศาจแดง!
อ้างอิง