นักเศรษฐศาสตร์แนะโมเดลแก้เกมสงครามภาษี
กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-นักเศรษฐศาสตร์แนะโมเดลแก้เกมสงครามภาษี เปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐแบบมีกลยุทธ์ ลดผลกระทบเกษตรกรรายย่อยปลูกข้าวโพด-ปศุสัตว์ ผลกระทบภาษี 36%
ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ประเทศไทยยังไม่เผชิญสถานการณ์เลวร้ายที่สุด (Worst Case Scenario) จากกำแพงภาษีทรัมป์ เกมเจรจาต่อรองทางการค้ายังไม่จบ ได้มีการเลื่อนเส้นตายไปวันที่ 1 ส.ค. รัฐบาลทรัมป์ใช้กลยุทธ์บีบให้ไทยมีข้อเสนอที่สหรัฐอเมริกาได้ประโยชน์และต้องการให้ไทยเปิดเสรีเปิดตลาดสินค้านำเข้าจากสหรัฐมากยิ่งขึ้น ต้องการให้ยกเลิกมาตรการกีดกันการค้าทั้งหลายที่ไม่ใช่ภาษี รวมทั้งระบบโควตา เพื่อปกป้องผู้ผลิตภายใน โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เราไม่ควรเปิดตลาดสินค้าทุกประเภทด้วยอัตราภาษี 0% แบบเวียดนามเพื่อแลกกับการลดภาษีตอบโต้ทางการค้า หากเราต้องการจะทำแบบเวียดนามโมเดล ไทยอาจทำได้ยากภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองของไทย เพราะกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมภายในและกลุ่มแรงงานก็จะกดดันไม่ให้รัฐบาลเปิดตลาดและเรียกร้องให้มีมาตรการปกป้อง แต่สถานการณ์แบบนี้ไม่เกิดขึ้นในเวียดนาม เพราะเวียดนามเป็นรัฐสังคมนิยมที่ใช้ระบบการวางแผนจากส่วนกลางผสมเศรษฐกิจแบบตลาด
รัฐบาลทรัมป์ใช้กลยุทธ์การเจรจาแบบทวิภาคีและการเจรจาที่สหรัฐใช้ปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เหนือกว่าในการบีบให้คู่เจรจาเสนอผลประโยชน์ที่ดีที่สุดให้ พร้อมขู่และกดดันและเลื่อนเส้นตายไปเรื่อย ๆ จนประเทศคู่เจรจามีข้อเสนอที่พอใจ ยุทธศาสตร์การเจรจาของไทยจึงไม่ใช่ยอมเปิดตลาดสินค้าทุกประเภทให้สหรัฐเพื่อแลกกับการลดภาษี ต้องดูผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อระบบเศรษฐกิจและกลุ่มผลประโยชน์ทุกกลุ่ม ควรใช้วิธียอมเปิดตลาดสินค้าเฉพาะบางประเภทที่เราพอแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้ หรือเป็นสินค้าไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ส่วนสินค้าประเภทที่ยังแข่งขันไม่ได้ ต้องมีมาตรการช่วยเหลือและระบบสนับสนุนให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น ผลิตภาพสูงขึ้น แล้วจึงค่อยเปิดตลาด
การเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าที่มีความอ่อนไหวสูง ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและมีกลยุทธ์ ลดผลกระทบเกษตรกรรายย่อยปลูกข้าวโพดและเลี้ยงปศุสัตว์ที่มีต้นทุนการผลิตสูง รัฐต้องหาวิธีลดต้นทุนให้กับผู้ผลิตเพื่อให้แข่งขันได้จากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เสนอไทยโมเดลแก้เกมสงครามภาษี ด้วยการเปิดตลาดเพิ่มในสินค้าที่แข่งขันได้แลกลดภาษี ทีมเจรจาของไทยต้องพยายามลดภาษีจากระดับ 36% ให้ได้ภายในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นเส้นตายหากเจออัตราภาษีที่สูงกว่าหลายประเทศในเอเชียมาก ผลกระทบของอัตราภาษีนำเข้าจะทำให้ภาคส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังต่อเนื่องไปถึงปีหน้า หดตัวลึกในสินค้าหลายรายการ
นอกจากนี้ อาจส่งผลกระทบการลงทุนของต่างชาติและอาจทำให้เกิดการย้ายฐานไปยังประเทศอื่นที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า การเปิดเสรีเพิ่มเติมให้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐเพื่อแลกกับการลดภาษีตอบโต้ทางการค้า เป็นสิ่งที่ต้องมองในเชิงยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจระยะยาวด้วย และจะทำอย่างไรให้ “สินค้าไทย” แข่งขันได้ในระยะยาวเมื่อมีการเปิดเสรีเต็มที่ด้วยอัตราภาษี 0% เมื่อเสนอเงื่อนไขนี้ให้สหรัฐแล้ว ก็ควรปฏิบัติเช่นเดียวกันต่อประเทศอื่นๆ ซึ่งจะนำมาสู่ประโยชน์ของผู้บริโภค โดยผู้ผลิตภายในสามารถปรับตัวหากดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน และมีระบบสนับสนุนในการเพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุน แปรรูปเพิ่มมูลค่าด้วยนวัตกรรม สร้างความเข้มแข็งทางด้านแบรนด์และการตลาด
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า เมื่อเทียบเคียงกับผลกระทบการตัดสิทธิ GSP ของอียูต่อสินค้าส่งออกของไทยในยุค คสช. กับภาษีทรัมป์ 36% ในช่วงไทยถูกตัดสิทธิจีเอสพี ทำให้สินค้าไทยหลายรายการแทบหายไปจากตลาดอียู เพราะสินค้าจากประเทศคู่แข่งได้สิทธิประโยชน์ในระดับ 18-15% ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดย ดร. ภัทรพงษ์ มาลาวัลย์ นักวิจัย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัลฯ (DEIIT) ได้ศึกษา “การปรับตัวของสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปไทยหลังการถอน GSP ของอียูและสหรัฐฯ ช่วงปี พ.ศ. 2015-2018” โดยได้วิเคราะห์ว่า การที่สหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐอเมริกา (US) ถอนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) โดยประกาศยกเลิกสิทธิพิเศษทางการค้าของไทยในปี 2015 และบังคับใช้ในปี 2018 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งสินค้าเกษตรแปรรูปหลายประเภท โดยสามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
1.สินค้าเกษตรประเภทสินค้าขั้นต้น (commodity) เช่น มันสำปะหลัง อาหารทะเลสดแช่แข็ง ได้ค่อย ๆ หายไปจากตลาด EU และสหรัฐ เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันด้านราคาหลังหมดสิทธิ GSP ได้ ไทยจึงหันไปเน้นตลาดทางเลือก เช่น จีนและประเทศในเอเชียแทน
2.สินค้าเกษตรไทยปรับตัวโดยเน้นตลาด niche และสินค้าพรีเมียม เช่น organic, plant-based, functional food ซึ่งสินค้าแปรรูปที่มีมูลค่าสูงสามารถรักษาตลาด EU-สหรัฐ ได้ เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้แปรรูป อาหารพร้อมทาน เครื่องดื่มสุขภาพ
3.แม้จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาจากภาษีนำเข้า 12-24% หลังหมด GSP มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและแปรรูปของไทยไป EU และสหรัฐยังคงเติบโตในระยะยาว
บทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) พบว่า กรณีที่ไทยโดนตัด GSP ของอียูและสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมานั้น เมื่อเทียบกับภาษีทรัมป์ผลกระทบมีความแตกต่างกัน แต่ไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อเทียบกับเวียดนามและฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์ยังคงได้ GSP+ จาก EU และเน้นส่งออกสับปะรดกระป๋องในราคาถูกแทนที่ไทย ทำให้ได้ส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นในกลุ่มราคากลาง-ล่าง ขณะที่เวียดนามมี FTA กับ EU (EVFTA) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 ส่งผลให้สินค้าหลายชนิดได้สิทธิพิเศษทางภาษีเต็มที่ ทำให้เวียดนามรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและแปรรูปจากเวียดนามไป EU เพิ่มจาก 1.6 พันล้านยูโร (2014) เป็น 3.8 พันล้านยูโร (2024) เมื่อเทียบกับภาษีทรัมป์แล้ว เมื่อไทยถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นจากมาตรการภาษีทรัมป์ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปบางรายการ ผลกระทบจะมากกว่าการถูกตัด GSP
อย่างไรก็ตาม ไทยปรับตัวด้วยการส่งออกสินค้าเกษตรพรีเมียมเข้าสู่ตลาดสหรัฐ โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยง อาหารสุขภาพและเครื่องดื่มพิเศษ เช่น functional beverages หรือ plant-based drinks ยังคงมีสินค้า commodity หรือผลิตภัณฑ์ขั้นต้นที่เหลืออยู่ในตลาดสหรัฐ เช่น สับปะรดกระป๋อง และ อาหารทะเลสดแช่แข็ง ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าจะหายไปจากตลาดสหรัฐ ไทยมีการปลูกสับปะรดโรงงานเพื่อส่งออกมากกว่า 90% ของการผลิตทั้งหมด ทำให้พื้นที่เพาะปลูกและจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 ด้วยราคาตกต่ำและการแข่งขันที่รุนแรงจากฟิลิปปินส์
บทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) ยังได้ประเมินอีกว่า หากไทยเจอกับอัตราภาษี 36% กลุ่มสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มส่งออกลดลงอย่างมากหรือขยายตัวติดลบในตลาดสหรัฐ ได้แก่ มะพร้าวแห้งและน้ำมันมะพร้าว แข่งขันด้านราคากับฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ซึ่งมี FTA กับสหรัฐ และได้ GSP สับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรด เป็น commodity ที่ราคาถูก ต้นทุนสูงขึ้นทันทีเมื่อเจอภาษี > 20% ทำให้ไม่สามารถแข่งกับฟิลิปปินส์ได้ ข้าวหอมมะลิ แม้มีแบรนด์ แต่หากโดนภาษีนำเข้า 36% จะทำให้ผู้ซื้อหันไปยังเวียดนามหรืออินเดีย อาหารทะเลแปรรูปราคากลาง เช่น ปลาทูน่ากระป๋องเกรดทั่วไป หากโดนภาษีสูงจะเสียเปรียบต่อเอกวาดอร์/ฟิลิปปินส์ น้ำผลไม้ผสม (ราคาต่ำ) ไม่ใช่ตลาด niche และผู้บริโภคอเมริกันมีทางเลือกในประเทศหรือนำเข้าจากเม็กซิโกและบราซิล
โดยหลักการแล้ว การเปิดเสรีจะเพิ่มการแข่งขัน ลดอำนาจผูกขาดของผู้ผลิตภายในได้ กดดันให้ผู้ผลิตต้องปรับตัวเพิ่มผลิตภาพ การเปิดเสรีเพิ่มขึ้นจะโอนย้ายผลประโยชน์จากผู้ผลิตมายังผู้บริโภคมากขึ้น ระยะยาวจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม หากเป็นการเปิดเสรีที่เป็นธรรม การเปิดเสรีอาจสร้างความไม่สมดุลของเศรษฐกิจภายในประเทศได้ หากภาคการผลิตภายในและภาคแรงงานไม่สามารถปรับตัวได้ดีพอ หรืออาจกระทบความมั่นคงทางเศรษฐกิจหากภาคผลิตในบางอุตสาหกรรมไม่สามารถแข่งขันได้เลยและล่มสลายไปทั้งหมด ทำให้ไม่เหลือผู้ผลิตภายในอยู่ ต้องอาศัยการนำเข้าอย่างเดียว เช่นนี้ก็ไม่เป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาวเช่นเดียวกัน การเปิดตลาดเพิ่มเติมเพื่อแลกกับการลดภาษีของสหรัฐจึงต้องมีมาตรการมุ่งเป้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเอสเอ็มอีและแรงงานด้วย คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังต่อเนื่องจนถึงปีหน้า หากประเทศเจอกำแพงภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง อาจทำให้มีเอสเอ็มอีปิดกิจการเพิ่มขึ้นพร้อมกับแรงงานที่อาจถูกปลดออกจากงาน การลดกำลังการผลิตจากการชะลอตัวของภาคส่งออก และการขยายตัวติดลบของอุตสาหกรรมหรือภาคการบริการที่ต้องพึ่งพิงตลาดสหรัฐเป็นหลัก จะส่งผลให้มีสูญเสียตำแหน่งงาน ภาคส่งออกและห่วงโซ่อุปทานการผลิตที่เกี่ยวข้องมีบทบาทสำคัญต่อการจ้างงาน แรงงานที่ถูกลดชั่วโมงการทำงานและว่างงาน จะส่งผลต่อภาคการบริโภคให้ชะลอตัวลงแรง ทำให้กิจการหรือธุรกิจภายในอย่างเช่น ภาคการค้าภายในประเทศ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเช่าซื้อ ได้รับผลกระทบไปด้วย .-515 สำนักข่าวไทย