Market Focus Weekly 01-09-2568
ทองคำลุ้นทดสอบ 3,500 ดอลลาร์ สัปดาห์นี้จับตาตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ
Gold Bullish
- นโยบายภาษีทรัมป์
- ทรัมป์แทรกแซงความอิสระเฟด
- ธนาคารกลางและกองทุนเข้าซื้อทองคำ
- การลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์
Gold Bearish
- ความคืบหน้าเจรจาการค้า
สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น +75.5 ดอลลาร์ หรือราว +2.24% ปิดที่ระดับ 3,446.8 ดอลลาร์ ทำจุดสูงสุดในรอบ 18 สัปดาห์ ที่ 3,454 ดอลลาร์ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความไม่แน่อนจากประเด็นศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ชี้ภาษีทรัมป์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คาดทรัมป์จ่อยื่นฎีกา แต่ศาลอนุญาตให้มาตรการภาษียังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป พร้อมทั้งส่งคดีกลับไปยังศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณาเพิ่มเติม อีกทั้งความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะครอบงำความอิสระในการทำงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้จริงหรือไม่ หลังทรัมป์ออกจดหมายจากทำเนียบขาวสั่งปลดนาง ลิซา คุก ในข้อหาฉ้อโกงสินเชื่อที่อยู่อาศัย และแรงหนุนจากนักลงทุนคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.
ศาลสหรัฐฯ สกัดนโยบายภาษีทรัมป์ เปิดทางชี้ขาดที่ศาลสูงสุด
ศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐฯ มีคำตัดสินเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่ามาตรการภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้บังคับกับเกือบทุกประเทศคู่ค้า เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นความปราชัยครั้งสำคัญของทรัมป์ในการผลักดันนโยบายการค้าเชิงรุก ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเผชิญความเสี่ยงด้านการเงินครั้งใหญ่ หากท้ายที่สุดศาลสูงสุดมีคำตัดสินยืนว่าภาษีของทรัมป์ผิดกฎหมาย กระทรวงการคลังอาจต้องคืนเงินภาษีส่วนเกินที่จัดเก็บไปแล้ว ซึ่งตัวเลข ณ เดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 1.59 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 5 ล้านล้านบาท สร้างความกังวลว่าการสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาลอาจกระทบเศรษฐกิจ จ้างงาน และเสถียรภาพทางการคลัง หลายฝ่ายเตือนว่า หากภาษีดังกล่าวถูกตีตก อำนาจต่อรองของทรัมป์ในการใช้กำแพงภาษีบีบให้ประเทศคู่เจรจายอมตามข้อเรียกร้องทางการค้า จะหมดความหมาย ส่งผลให้รัฐบาลต่างชาติอาจแข็งกร้าวมากขึ้น และสหรัฐฯ ต้องเจรจาจากตำแหน่งที่เสียเปรียบ
จับตาคดี ศาลสหรัฐฯ พิจารณาเลื่อนคำสั่งปลด “ลิซา คุก”
ศาลแขวงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พิจารณาคดีสำคัญที่อาจสร้างบรรทัดฐานใหม่ต่ออำนาจของประธานาธิบดีในการปลดผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากที่นางลิซา คุก สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด และสตรีผิวสีคนแรกที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าว ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวจากคำสั่งปลดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ข้อกล่าวหานี้ถูกใช้เป็นเหตุผลที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกคำสั่งปลดนางคุกออกจากตำแหน่ง แม้จะยังไม่มีคำตัดสินทางกฎหมาย ทนายความของนางคุก นายแอบบี โลเวลล์ โต้แย้งว่า การนำโพสต์บนโซเชียลมีเดียมาเป็นมูลเหตุในการปลดผู้ว่าการเฟดถือว่าไม่เพียงพอและไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมย้ำว่านางคุกเข้ารับตำแหน่งในเฟดด้วยกระบวนการแต่งตั้งที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และมีวาระการดำรงตำแหน่ง 14 ปีจนถึงปี 2581 การไต่สวนซึ่งใช้เวลาราวสองชั่วโมงยังไม่ได้ข้อสรุป ผู้พิพากษาเจีย คอบบ์ยังไม่ตัดสินใจว่าจะออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อให้นางคุกอยู่ในตำแหน่งระหว่างการพิจารณาคดีหรือไม่ โดยคดีนี้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจกระทบต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ และเป็นบททดสอบครั้งสำคัญต่อขอบเขตอำนาจของฝ่ายบริหารในอนาคต
ทรัมป์ประกาศจุดยืน! เตรียมครองเสียงข้างมากเฟด ดันนโยบายลดดอกเบี้ย
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่าฝ่ายตนกำลังจะครองเสียงข้างมากในคณะกรรมการเฟดในเร็วๆ นี้ ซึ่งอาจเปิดทางสู่การดำเนินนโยบายการเงินที่เอื้อต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยเขามองว่าดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงกำลังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาคการเงินและตลาดที่อยู่อาศัย และเชื่อว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวได้
สัปดาห์นี้ติดตามคณะกรรมาธิการการธนาคารวุฒิสภาสหรัฐกำลังเตรียมไต่สวนเพื่ออนุมัติ นาย สตีเฟน มิแรน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เร่งผลักดันความพยายามในการปรับโครงสร้างธนาคารกลาง อย่างไรก็ตาม มิแรนได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งเพียงวาระที่กำลังจะสิ้นสุดของผู้ว่าการธนาคารกลาง อาเดรียนา คูเกลอร์ ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนมกราคม 2569 แต่ทรัมป์กลับออกมากล่าวว่ากำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนการเสนอชื่อมิแรนเพื่อให้เขาดำรงตำแหน่งแทนหลังปลดลิซา คุก ซึ่งมีวาระสิ้นสุดในปี 2581
คณะกรรมการผู้ว่าการเฟดมีสมาชิกทั้งหมด 7 ท่าน ปัจจุบันทรัมป์มีเสียงที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ยแล้ว 2 ราย ได้แก่ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และมิเชลล์ โบว์แมน และหากมิแรน ผ่านการอนุมัติก็จะมี 3 ใน 7 เสียง
ดังนั้นหากทรัมป์เข้าครองเสียงข้างมากในเฟดได้ การปรับลดดอกเบี้ยเฟดในอนาคตอาจเกิดขึ้นได้อีกหลายครั้งตามเป้าหมาย โดยอาจปรับลดมากถึง 1.50% จากปัจจุบัน 4.25 – 4.50% สู่ระดับ 2.75 – 3.00% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สก๊อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เคยเรียกร้องเฟดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็จะยิ่งส่งผลบวกต่อราคาทองได้ในอนาคต
อินเดียกำลังพิจารณาที่จะยกเลิกข้อจำกัดในกองทุน ETF ทองคำ
ตามข้อมูลจากบุคคลใกล้ชิดรัฐบาลและอุตสาหกรรม มีการเปิดเผยว่าผู้จัดการกองทุนบำนาญได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ PFRDA หลายครั้งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม เพื่อขออนุญาตลงทุนในกองทุนทองคำ โดยทางหน่วยงานกำกับฯ ได้จัดทำร่างข้อเสนอเบื้องต้นและส่งให้กองทุนต่าง ๆ นำไปพิจารณาแล้ว
แรงผลักดันสำคัญคือความต้องการเพิ่มผลตอบแทนให้กับกองทุนบำนาญ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ารวมราว 177 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ กองทุนยังได้เสนอให้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการลงทุนในกองทรัสต์อสังหาริมทรัพย์ (REITs) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (InVITs) ด้วย ภายใต้กฎระเบียบปัจจุบัน การลงทุนในทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะถูกจัดเป็น “สินทรัพย์ทางเลือก” ซึ่งสามารถลงทุนได้ไม่เกิน 5% ของพอร์ตบำนาญทั้งหมด
ทั้งนี้ ความน่าสนใจในการลงทุนทองคำเห็นได้ชัดในปีนี้ โดยกองทุนทองคำอีทีเอฟรายใหญ่ของอินเดีย เช่น Nippon India ETF Gold, SBI ETF Gold และ HDFC Gold ETF ต่างทำผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเกือบ 30% ตั้งแต่ต้นปี 2025 ข้อมูลจากบลูมเบิร์กระบุว่า ระบบบำนาญแห่งชาติ (National Pension System: NPS) ของอินเดีย จัดการลงทุนออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ หุ้นเอกชน, พันธบัตรเอกชน, พันธบัตรรัฐบาล และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือก ซึ่งรวมถึง REITs, InVITs และกองทุนทองคำอีทีเอฟ
หากเพดานการลงทุนทองคำ 5% ถูกยกเลิก ก็อาจกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ตลาดทองคำของอินเดียที่กำลังเติบโตอยู่แล้วขยายตัวขึ้นอีก
จีนจัดประชุมสุดยอด SCO เสริมกลุ่มพันธมิตร
ผู้นำรัสเซีย จีน และอินเดีย เตรียมพบกันในการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจิน ซึ่งทางผู้นำทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี จะได้พบปะซึ่งหน้ากันในวันที่ 3 กันยายน โดยที่เป็นตัวละครหลักท่ามกลางสมการพลังงานโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหัวใจของการหารืออยู่ที่การรักษาและขยายตลาดพลังงานรัสเซีย ปูตินหวังให้อินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันในปริมาณมากต่อไป แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ขณะเดียวกันรัสเซียพยายามผลักดันให้จีนแสดงบทบาทสนับสนุนชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการเปิดใช้งานท่อก๊าซที่ถูกเลื่อนมายาวนาน เพื่อชดเชยการสูญเสียตลาดในยุโรป
ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามในสัปดาห์
2 กันยายน
- เวลา 21.00 น. - ดัชนี PMI ภาคการผลิตโดย ISM เดือนส.ค. นักวิเคราะห์คาดการณ์เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 49.8 จากระดับ 48.0 ในเดือนก.ค.
3 กันยายน
- เวลา 21.00 น. - ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน เดือนก.ค. นักวิเคราะห์คาดการณ์ลดลงสู่ระดับ 7.24 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 7.44 ล้านตำแหน่ง ในเดือนมิ.ย.
4 กันยายน
เวลา 19.15 น. - การจ้างงานนอกภาคเกษตร (ADP) เดือนส.ค. นักวิเคราะห์คาดการณ์ลดลงสู่ระดับ 71,000 ตำแหน่ง จากระดับ 104,000 ตำแหน่ง ในเดือนก.ค.
เวลา 21.00 น. - ดัชนี PMI ภาคการบริการโดย ISM เดือนส.ค. นักวิเคราะห์คาดการณ์เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 50.5 จากระดับ 50.1 ในเดือนก.ค.
5 กันยายน
- เวลา 19.30 น. - การจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือนส.ค. นักวิเคราะห์คาดการณ์เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 74,000 ตำแหน่ง จากระดับ 73,000 ตำแหน่ง ในเดือนก.ค. และ อัตราการว่างงาน เดือนส.ค. นักวิเคราะห์คาดการณ์เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.3% จากระดับ 4.2% ในเดือนก.ค.
แนวโน้มราคาทอง
ภาพรวมความเคลื่อนไหวในสัปดาห์มีลุ้นปรับตัวขึ้นทดสอบ 3,500 ดอลลาร์ จากกราฟรายวัน แม้ Stochastic Oscillators จะส่งสัญญาณ Overbought แต่ MACD และ RSI ยังเป็นสัญญาณ Bullish ซึ่งอาจหมายถึงราคาทองมีโอกาสปรับตัวลงเพื่อปรับฐานในระยะสั้น คาดมีแนวรับที่ 3,400 – 3,410 ดอลลาร์ และถัดไปที่ 3,370 ดอลลาร์ ขณะที่แนวต้าน 3,470 ดอลลาร์และถัดไปที่ 3,500 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยา
นักลงทุนทองคำแท่งแนะนำทยอยเปิดสถานะซื้อสะสมเมื่อราคาปรับตัวลงที่ระดับ 52,150 – 52,200 บาท และขายทำกำไรที่ 52,900 บาท และ 53,200 บาท