นักสิทธิสตรี แถลงการณ์ ยืนเคียงข้าง 'อังคณา' ย้ำสันติภาพไม่เกิดจากความเกลียดชัง
นักสิทธิสตรี แถลงการณ์ ยืนเคียงข้าง ‘อังคณา’ ย้ำสันติภาพไม่เกิดจากความเกลียดชัง
กรณีที่ นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์ห่วงการปล่อยให้อินฟลูเอ็นเซอร์ หรือกลุ่มบุคคลเข้าไปกระทำการเพื่อสร้างความกดดันหรือความหวาดกลัว อย่างการเปิดเสียงผี เสียงโหยหวย ในช่วงความขัดแย้ง-สงคราม อาจเป็นความท้าทายอย่างมากต่อรัฐบาล โดยเฉพาะ รมต.ต่างประเทศ ในการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันนั้น ภายหลังพบว่าเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยนั้น
- ส.ว.อังคณา ห่วงรัฐบาลทำงานยาก หลังปล่อยอินฟลูฯ เปิดเสียงหลอนข่มขวัญกัมพูชา
- อังคณา ห่วงละเมิดสิทธิฯ ยันไม่ได้เข้าข้างเขมร แค่แปลหนังสือ กสม.กัมพูชา ถึง UN
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ยืนข้างความจริง หลักสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ยืนเคียงข้าง “อังคณา นีละไพจิตร”
โดยระบุว่า ในเวลาที่ความกลัวถูกปลอมเป็นความรักชาติ และความเกลียดชังถูกแต่งให้เป็นหน้าที่พลเมือง สังคมบางส่วนกลับหันไปโจมตีสมาชิกวุฒิสภาอิสระและผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนหนึ่ง — อังคณา นีละไพจิตร ผู้หญิงกล้าหาญที่เพียงทำหน้าที่อันซื่อสัตย์ของเธอ — ตั้งคำถามต่อความไม่ชอบมาพากล ด้วยความสุจริตใจ และยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน
อังคณารู้ดีว่าการพูดในยามนี้คือการ “สวนกระแส” แต่เธอก็เลือกพูด — เพราะเธอเชื่อในศักดิ์ศรีของความจริง แม้ในวันที่อำนาจรัฐโหดร้ายกับครอบครัวนีละไพจิตรเพียงใด เธอยังคงยืนอยู่ฝ่ายของความถูกต้อง แม้ต้องอยู่ลำพัง เธอไม่ได้พูดเพื่อตัวเอง —เธอพูดเพื่อปกป้องสิทธิของเราทุกคน เพราะสิทธิมนุษยชนไม่ได้เป็นเรื่องของนักกฎหมาย เอ็นจีโอหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่มันอยู่ในลมหายใจและในชีวิตประจำวันของเราทุกคน —สิทธิในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ถูกคุกคาม สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง สิทธิของพลเมืองที่จะตั้งคำถามต่ออำนาจรัฐ ทหาร และทุน หรือแม้กระทั่งอินฟลูเอนเซอร์ และสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องหวาดกลัวและมั่งคงปลอดภัย
การตั้งคำถามต่ออำนาจ คือหัวใจของประชาธิปไตย การตั้งคำถามต่ออำนาจ ไม่ใช่การล้ำเส้นโดยเฉพาะอำนาจรัฐ หากคือการท้าทายอำนาจรัฐที่ละเลยความรับผิดชอบต่อประชาชน เพราะเมื่อรัฐไม่รับผิด — ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่ต้องลุกขึ้นถาม การตั้งคำถามคือรูปแบบสูงสุดของความรับผิดชอบพลเมือง และคือหนทางเดียวที่เราจะรักษาความจริง ความยุติธรรม และศักดิ์ศรีของมนุษย์ไว้ได้
เราตั้งคำถามกับอังคณา นีละไพจิตรในฐานะสมาชิกวุฒิสภาได้ แต่เราไม่ สามารถสร้างความเกลียดชังได้
เมื่อความรักชาติถูกบิดให้กลายเป็นอาวุธ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ประชาชนตื่นตัวต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา แต่เมื่อเราตื่นตัว เราต้องถามว่า —เรากำลังตื่นตัวเพื่อแก้ปัญหาด้วยสติ หรือช่วยปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไอโอปลุกความเกลียดชัง?
ลัทธิชาตินิยมที่ถูกปลุกปั่นในวันนี้ กำลังสร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัวและความเกลียดชังในใจผู้คน เมื่อเราปลูกความเกลียด เราก็เก็บเกี่ยวแต่ความรุนแรง เมื่อเราหล่อเลี้ยงการแบ่งแยก เราก็ทำลายรากของความยุติธรรมและสันติภาพด้วยมือของเราเอง เราต้องถามกันอย่างตรงไปตรงมาว่า —เรากำลังสร้างวัฒนธรรมแบบใดให้เติบโตในใจของเราเองหรือผู้คนในสังคม?
ถ้าเราสร้างสังคมที่เติบโตบนความเกลียดชัง เราก็จะอยู่ในความเกลียดชังนั้นเอง แต่ถ้าเราปลูกวัฒนธรรมของความเข้าใจ ความยุติธรรม และความห่วงใยต่อกัน เราก็จะได้สังคมที่กล้ายืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของทุกชีวิต ความรักชาติที่อาจมีคุณค่าได้ ไม่ได้วัดจากเสียงโห่ร้องของความเกลียดชัง แต่จากความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของทุกชีวิต — แม้ในวันที่ชาติสั่นคลอน
ประเทศไทยมีพันธกรณีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมระหว่างประเทศหลายฉบับ รวมถึงอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (CAT) และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) ซึ่งกำหนดให้ทุกฝ่ายต้องเคารพศักดิ์ศรีของพลเรือน และจำกัดผลกระทบของความรุนแรง เพราะแม้ในยามที่มนุษย์ต้องต่อสู้กัน — เรายังต้องไม่สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปกับความขัดแย้ง
บทเรียนจากรวันดา: เมื่อความมั่นคงของชาติกลืนศักดิ์ศรีมนุษย์ ปี 1994 ขบวนการ “ฮูตู พาวเวอร์” ในรวันดา ปลุกระดมความเกลียดชัง โดยอ้างว่าเป็น “การปกป้องชาติ” จากชนกลุ่มน้อยทุตซี ไม่ถึงร้อยวัน มีผู้ถูกสังหารกว่า 800,000 คน — เพียงเพราะเกิดผิดชาติพันธุ์
รวันดาคือบทเรียนของมนุษยชาติ:ว่าความมั่นคงของรัฐไม่อาจมาก่อนความมั่นคงของชีวิต และความเงียบของโลกในเวลานั้น คือบาดแผลที่ยังไม่สมานจนทุกวันนี้ ความรักชาติที่แท้จริง ไม่อาจตั้งอยู่บนซากศพของเพื่อนมนุษย์ การปกป้องประเทศจะไร้ค่า หากไม่ปกป้องศักดิ์ศรีของทุกชีวิต
เสียงของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ จากทั่วประเทศ“อินฟลูเอนเซอร์ไม่ควรมีอภิสิทธิ์เหนือกฎหมาย การสื่อสารที่ปลุกปั่นความคลั่งชาติเป็นภัยต่อสังคม ต้องหยุดตั้งแต่ต้น”
“คนไทยหรือกัมพูชา — เราคือมนุษย์เหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิอยู่ในสันติภาพ ปลอดภัยจากความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ”
“ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา ผู้มีอำนาจทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขอย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้ประชาชนทั้งสองประเทศต้องเกลียดชังและรับเคราะห์ จากความขัดแย้งที่เกิดจากผลประโยชน์และอำนาจของผู้ปกครองเอง”
“สงครามและความขัดแย้งนำมาซึ่งความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และไม่เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใด การจัดการความขัดแย้งควรมุ่งสู่การยุติอย่างสันติ โดยหลีกเลี่ยงความสูญเสียทุกรูปแบบ”
ข้อเรียกร้องเร่งด่วน ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย กองทัพ และองค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลอย่างเร่งด่วน โปร่งใส และรับผิดชอบต่อประชาชนทันที
รัฐต้องเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL)ยุติการใช้วาทกรรมชาตินิยม และปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) ที่สร้างความเกลียดชัง และต้องปกป้องศักดิ์ศรีของพลเรือนทุกคนโดยไม่เลือกฝ่าย
ถ้อยแถลงต่อสื่อมวลชน เราขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนทุกแขนงรายงานอย่างรอบด้าน ยึดมั่นในจรรยาบรรณ และไม่ขยายวาทกรรมแห่งความเกลียดชัง สื่อที่มีเกียรติไม่ใช่สื่อที่ปลุกปั่นความกลัว แต่คือสื่อที่กล้าปกป้องสติของสังคม และศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน “หน้าที่ของสื่อคือการส่องแสง — ไม่ใช่ขยายความมืดมิด”
พลังของประชาชนคือพลังที่งดงามเสมอหากเราเรียกร้องเพื่อสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และประชาธิปไตย — เราขอให้ประชาชนใช้พลังนั้น ไปตั้งคำถามกับอำนาจที่เรามอบให้
ทำไมประชาชนยังเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ( สสร.)ไม่ได้ 100%?
ทำไมประชาชนจึงไม่มีสิทธิแก้รัฐธรรมนูญได้ทุกหมวด ทุกมาตรา?
ทำไมเศรษฐกิจยังคงล้มเหลว ขณะที่ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นและผู้คนต้องฆ่าตัวตาย? และทำไมความขัดแย้งในบ้านเมืองและที่ชายแดนจึงยังไม่คลี่คลายเสียที? หรือกรณีการซื้อหุ้นบางจาก เป็นการฟอกเงินของอดีตนายกฮุน เซน และของคุณทักษิณ ชินวัตร หรือไม่?
รัฐมนตรีอย่างคุณธรรมนัส — ผู้ที่สื่อรายงานว่าสนิทชิดเชื้อกับอินฟลูเอนเซอร์ดังกล่าว — มีส่วนหรือไม่?
และทั้งหมดนี้เกี่ยวพันอย่างไรกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ที่ปล้นทรัพยากรและศักดิ์ศรีของประชาชนที่ด่านขุนทดและสร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้างและประเทศชาติหรือไม่?
เราขอให้รัฐตอบคำถามเหล่านี้ด้วยความจริง และเราขอให้ประชาชนใช้พลังของตนเอง —ตั้งคำถามเหล่านี้ต่อไป ด้วยความกล้าหาญและมีสติ เพราะประชาชนไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดในความเงียบหรือความเกลียดชัง แต่คือเจ้าของอำนาจอธิปไตย ที่มีสิทธิรู้ มีสิทธิถาม และมีสิทธิเปลี่ยนแปลงอนาคตของตนเอง
บทเรียนจาก 14 ตุลาคม: ประชาชนคือหัวใจของชาติ การตื่นตัวทางการเมืองหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของอุดมคติทางการเมืองไทยสมัยใหม่ ในวันที่นิสิตนักศึกษาและประชาชนลุกขึ้นตั้งคำถามต่ออำนาจ สังคมไทยได้เรียนรู้ว่า อำนาจรัฐจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อประชาชนกล้ายืนหยัดในศักดิ์ศรีของตนเอง เราผ่านความเจ็บปวดของเหตุการณ์ 14 ตุลาคมมาแล้ว และบทเรียนนั้นยังเตือนเราอยู่ทุกวันว่า —ความเข้มแข็งของชาติไม่ได้มาจากความเงียบ แต่มาจากสังคมที่ยอมรับการตรวจสอบของประชาชนบนหลักสิทธิ เสรีภาพ ความยุติธรรม และความรับผิดชอบร่วมกัน
ชาติที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ชาติที่ไม่เคยผิดพลาดแต่คือชาติที่กล้ายอมรับความจริง และลุกขึ้นแก้ไขด้วยศักดิ์ศรี
เราขอประกาศอีกครั้ง เรายืนเคียงข้าง อังคณา นีละไพจิตร นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและประชาชนทุกคน ไม่ใช่เพราะเห็นด้วยในทุกถ้อยคำของพวกเธอและเขา แต่เพราะเรายืนข้างหลักการเดียวกัน —ว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิในความปลอดภัย ศักดิ์ศรี และความจริง ความมั่นคงที่แท้จริงไม่อาจตั้งอยู่บนความกลัว สันติภาพไม่อาจเกิดจากการปลุกความเกลียดชัง และความยุติธรรมไม่อาจบังเกิด หากรัฐและผู้มีอำนาจไม่ยอมรับความรับผิดชอบของตนเอง
ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย (Community Women Human Rights Defenders Collective of Thailand) วันที่ 14 ตุลาคม 2568
หมายหตุ : ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน คือขบวนเคลื่อนไหวรากหญ้าที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงจากชุมชนซึ่งต่อสู้ในเรื่องต่างๆ ถึง 19 ประเด็นจากทั่วประเทศ พวกเราคือแม่ คนทำงานดูแล ชนเผ่าพื้นเมือง คนชนบทและคนจนเมือง แรงงานสิ่งทอ แรงงานไร้ที่ดินทำกิน พนักงานบริการ และเยาวชนนักกิจกรรม ที่ทุ่มเทเพื่อดูแลรักษาชีวิต ผืนดิน และวิถีชีวิตของครอบครัวและชุมชน
เราลุกขึ้นสู้เพื่อที่ดิน ที่อยู่อาศัย เราต่อต้านการทำเหมืองแร่และโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ต่างๆ เราเรียกร้องสิทธิและการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายให้แก่ผู้หญิงแรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัย ผู้หญิงพิการ รวมทั้งให้การสนับสนุนแก่ผู้หญิงในพื้นที่ความขัดแย้งสามจังหวัดภาคใต้ของไทยและในพม่า เราเรียกร้องค่าตอบแทนแม่และคนทำงานดูแล (Care Income)
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : นักสิทธิสตรี แถลงการณ์ ยืนเคียงข้าง ‘อังคณา’ ย้ำสันติภาพไม่เกิดจากความเกลียดชัง
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th