ผลกระทบจากความไม่เป็นเอกภาพ
การลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2569 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงพลังอำนาจของการเมืองไทยโดยเฉพาะในขั้วอำนาจรัฐบาล ที่แม้หลายฝ่ายจะมองว่าอ่อนแอ แต่กลับยังยืนหยัดอยู่ได้ นับเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการที่ฝ่ายรัฐบาลสามารถรวบรวมเสียงได้อย่างเป็นเอกภาพ สวนทางกับฝ่ายค้านที่แม้จะพยายามสร้างพลังในการตรวจสอบ แต่ตัวเลขคะแนนเสียงที่ปรากฏกลับชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นเอกภาพภายใน
การที่ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ผ่านความเห็นชอบในวาระที่ 3 ด้วยคะแนนเสียง 257 เสียง พรรคร่วมรัฐบาลที่สามารถรวมเสียงกันได้อย่างเหนียวแน่นเพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญที่สุดของประเทศ ในทางกลับกัน แม้ฝ่ายค้านจะรวมตัวกันลงมติไม่เห็นชอบได้มากถึง 230 เสียง
แต่เมื่อพิจารณาจากจำนวน สส. ทั้งหมดแล้ว กลับพบว่ามี สส. ฝ่ายค้านบางส่วนที่ไม่ได้ลงมติไม่เห็นชอบตามแนวทางพรรค ทำให้คะแนนเสียงที่ออกมาไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ซึ่งชี้ให้เห็นความไม่เป็นเอกภาพ
นอกจากนี้ การที่ สส. พรรคประชาชนเสนอให้นับองค์ประชุมแบบขานชื่อ แสดงให้เห็นถึงความพยายามของฝ่ายค้านในการใช้กลไกทางรัฐสภาเพื่อสร้างแรงกดดันและเปิดเผยจุดอ่อนของรัฐบาล แต่การกระทำดังกล่าวกลับไม่สามารถนำไปสู่การรวมคะแนนเสียงที่แข็งแกร่งได้อย่างที่คาดหวังไว้ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลมีเสถียรภาพ แต่ปัญหาอยู่ที่ ความไม่เป็นเอกภาพของฝ่ายค้าน เองต่างหาก
แน่นอนว่า หากยิ่งปล่อยให้นานวัน ฝ่ายค้านอาจอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่ออีกฝ่ายกุมอำนาจรัฐ ดังนั้นฝ่ายค้านจึงจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นในจุดยืนทางการเมือง ให้กับสมาชิกในพรรค ที่น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญ
ด้วยยังมีร่างกฎหมายและนโยบายที่รัฐบาลลพรรคเพื่อไทยต้องการผลักดันก่อนที่จะยุบสภาและเลือกตั้ง ซึ่งอาจทำได้ง่ายขึ้น เมื่อฝ่ายค้านไม่สามารถรวมตัวกันลงคะแนนเสียงได้
ลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายค้าน เมื่อฝ่ายค้านมีการแตกเสียงหรือไม่สามารถรวมตัวกันได้ จะส่งผลให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในตัวฝ่ายค้านเอง ทำให้ฝ่ายค้านเสียเปรียบในการเลือกตั้งครั้งถัดไป
ขณะเดียวกันก็ลดแรงกดดันทางการเมือง การที่ฝ่ายค้านไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ทำให้รัฐบาลไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองที่หนักหน่วงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือการตรวจสอบในประเด็นที่อ่อนไหวต่างๆ
และแน่นอนว่า เสียงที่แตกออกมาย่อมสร้างความมั่นใจในเสถียรภาพรัฐบาล ที่อาจทำให้เกิดการผลักผันของอำนาจต่อรองทางการเมือง