TDRI ชี้ลดดอกเบี้ยจำเป็น แต่ต้องมีนโยบายเสริม เตือนแรงส่งเศรษฐกิจช้าลง
ผลการประชุมคณะกรรมการ นโยบายการเงิน (กนง.) โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี อยู่ที่ 1.50% ต่อปี หลังจากคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในการประชุมครั้งก่อนหน้าเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
ความเห็นจาก ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส TDRI ระบุว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายล่าสุด ถือเป็นสัญญาณชัดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยพร้อมใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อรับมือเศรษฐกิจที่เผชิญแรงกดดันรอบด้าน
ขณะที่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME จะได้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง แต่การส่งผ่านดอกเบี้ยไปสู่ระบบเศรษฐกิจจริงกลับใช้เวลานานขึ้นและให้ผลน้อยกว่าเดิม
ดร.นณริฏ อธิบายว่า ในทางวิชาการ การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณว่า กนง. พร้อมใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อรองรับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังอ่อนแอ และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงกว่าที่คาดการณ์
สำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ขณะที่การกระตุ้นสินเชื่อและการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน อาจช่วยเพิ่มแรงขับเคลื่อนให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวม
ความเห็นส่วนตัวของ ดร.นณริฏ ระบุว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับลดลงมักจะไม่เท่ากับอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยนโยบาย และส่วนใหญ่จะใช้เวลาปรับช้ากว่า ราว 3-4 ไตรมาส ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากมักไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
ดร.นณริฏ ยังกล่าวอีกว่า การลดดอกเบี้ยเป็นเพียงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น หากขาดนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้ผลของนโยบายการเงินลดลงได้
ขณะที่ระดับดอกเบี้ยนโยบาย 1.25-1.50% น่าจะเพียงพอต่อการพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น พร้อมกับการรักษาพื้นที่นโยบาย (policy space) เพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคต
นั่นหมายถึงการปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้น่าจะไม่เกิน 1 ครั้ง และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย เนื่องจากเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อีกทั้งการปรับดอกเบี้ยยังต้องใช้เวลาในการส่งผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจ
การลดดอกเบี้ยต่ำกว่าระดับปัจจุบันไม่น่าจะเหมาะสม เพราะเศรษฐกิจต้องการนโยบายระยะยาวเพื่อการปรับโครงสร้างมากกว่า
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานเชิงสถิติที่สะท้อนว่า การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายไปสู่เศรษฐกิจจริงมีประสิทธิผลลดลง ทั้งในด้านขนาดของผลกระทบที่เล็กลง และระยะเวลาที่นานขึ้นกว่านโยบายจะส่งผลจริง
ในแง่ของประสิทธิภาพขึ้นกับหลากหลายปัจจัย แต่ในทางทฤษฎีแล้ว การลดดอกเบี้ยจะทำให้สถาบันการเงินมีแนวโน้มปล่อยสินเชื่อมากขึ้นไม่มากก็น้อย จึงจำเป็นต้องติดตามดูว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยและภาครัฐจะมีนโยบายเสริมออกมาหรือไม่ เช่น โครงการแก้ไขปัญหาหนี้ของ ธปท. การจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) รูปแบบใหม่ การแก้ไขหนี้เสีย (NPL) ในฝั่ง ธปท. และการสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวของภาครัฐ