ช็อกผล ครีมกันแดดยี่ห้อดังกว่า 80% ค่า SPF เหลือแค่ 4 ทำคนออสป่วยมะเร็ง หวั่น ลักไก่ทั่วโลก
องค์กรผู้บริโภคออสเตรเลีย แฉผลทดสอบสุดช็อก ครีมกันแดดยอดนิยมหลายยี่ห้อประสิทธิภาพไม่ตรงฉลาก SPF เหลือเพียง 4 ท่ามกลางเสียงโวยจากผู้บริโภค ทำคนป่วยเป็นมะเร็งผิวหนัง
สำนักข่าว BBC รายงาน เกิดเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่ในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “เมืองหลวงมะเร็งผิวหนังของโลก” หลังจากมีการเปิดโปงว่าครีมกันแดดยอดนิยมราคาสูงหลายยี่ห้อ มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดต่ำกว่าที่ระบุไว้บนฉลากอย่างน่าตกใจ จนนำไปสู่การฟ้องร้อง การถอดสินค้าออกจากชั้นวาง ลามตั้งคำถามถึงมาตรฐานการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์กันแดดทั่วโลก
จุดเริ่มต้นจากความเจ็บปวดของผู้บริโภค บีบีซี เล่าประสบการณ์ของ “ราช” หญิงสาวชาวออสเตรเลียวัย 34 ปี ที่เติบโตมากับการถูกปลูกฝังให้กลัวแสงแด เธอเป็นคนที่ทาครีมกันแดดซ้ำๆ ตลอดทั้งวันและสวมหมวกเสมอ แต่ต้องตกใจอย่างหนักเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แพทย์ตรวจพบมะเร็งผิวหนังชนิด “บาซัลเซลล์ คาร์ซิโนมา” บนจมูกของเธอ ซึ่งแม้จะเป็นชนิดที่ไม่รุนแรง แต่ก็ต้องผ่าตัดออกและทิ้งรอยแผลเป็นไว้ใต้ดวงตา ความโกรธของเธอปะทุขึ้นเมื่อได้รู้ว่า ครีมกันแดดที่เธอไว้วางใจและใช้มาตลอดหลายปีนั้น อาจไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดเลย
องค์กรผู้บริโภคเริ่มสืบสวนเรื่องอื้อฉาว
เรื่องราวทั้งหมดแดงขึ้นเมื่อ Choice Australia องค์กรพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคที่น่าเชื่อถือ ได้เผยแพร่รายงานผลการทดสอบครีมกันแดด 20 ยี่ห้อในห้องปฏิบัติการอิสระ และพบว่ามีถึง 16 ยี่ห้อที่ไม่ผ่านมาตรฐานค่า SPF (Skin Protection Factor) ตามที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงคือ Ultra Violette Lean Screen SPF 50+ Mattifying Zinc Skinscreen ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทาหน้าที่ “ราช” ใช้อยู่เป็นประจำ โดยผลทดสอบที่ออกมาพบว่ามีค่า SPF เหลือเพียง 4 เท่านั้น ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่น่าตกใจจน Choice ต้องทำการทดสอบซ้ำอีกครั้ง แต่ก็ได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงเดิม
นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ดังอื่นๆ เช่น Neutrogena, Banana Boat, Bondi Sands และแม้แต่ของ Cancer Council (สภามะเร็ง) เอง ก็ไม่ผ่านการทดสอบเช่นกัน (อย่างไรก็ตาม ทุกแบรนด์ได้ออกมาปฏิเสธผลการทดสอบของ Choice โดยอ้างอิงผลการทดสอบของตนเอง)
รายงานดังกล่าวได้สร้างความโกรธแค้นในหมู่ผู้บริโภคทันที ทำให้ องค์กรสินค้ารักษาโรค (TGA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลของออสเตรเลีย ต้องเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
ในตอนแรกแบรนด์ Ultra Violette ได้ออกมาตอบโต้และยืนยันในประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ แต่ไม่ถึงสองเดือนต่อมา บริษัทก็ได้ประกาศเรียกคืนสินค้าทั้งหมดออกจากตลาด หลังจากผลการทดสอบภายใน 8 ครั้งให้ผลลัพธ์ที่ไม่สอดคล้องกัน พร้อมทั้งกล่าวขอโทษผู้บริโภคและยุติความสัมพันธ์กับห้องปฏิบัติการทดสอบแห่งแรก
“เงินคืนคงไม่สามารถย้อนความเสียหายจากแสงแดดที่สะสมมาหลายปีได้หรอก ใช่ไหม?” คือหนึ่งในความคิดเห็นของผู้บริโภคที่แสดงความไม่พอใจ
ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกฎระเบียบเกี่ยวกับครีมกันแดดที่เข้มงวดที่สุดในโลก แล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ออสเตรเลียจัดให้ครีมกันแดดเป็น “ยา” ไม่ใช่ “เครื่องสำอาง” เหมือนในยุโรป แต่ปัญหานี้กลับเกิดขึ้นได้ จากการสืบสวนของสื่อออสเตรเลียพบว่า อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการทดสอบ ถูกรับรองโดย ห้องปฏิบัติการเพียงแห่งเดียวในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักจะให้ผลการทดสอบที่สูงกว่าปกติ ครีมกันแดดหลายยี่ห้อที่ถูกถอดออกจากชั้นวาง ใช้ “สูตรพื้นฐาน” (Base Formula) ที่คล้ายกัน และผลิตจากโรงงานแห่งเดียวกันในออสเตรเลียตะวันตก
ดร. มิเชลล์ หว่อง นักเคมีเครื่องสำอางและผู้ก่อตั้ง Lab Muffin Beauty Science ชี้ว่า การทดสอบค่า SPF เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีปัจจัยที่ทำให้ผลคลาดเคลื่อนได้ง่าย เช่น สีผิวหรือสภาพผิวของผู้ถูกทดสอบที่แตกต่างกัน และผลลัพธ์จากแต่ละห้องปฏิบัติการก็อาจไม่เท่ากัน
เธอยังเสริมว่า ปัญหาลักษณะนี้น่าจะเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในออสเตรเลีย “ตราบใดที่ยังไม่มีใครลุกขึ้นมาทดสอบครีมกันแดดจำนวนมากในประเทศอื่นๆ เราก็จะไม่มีทางรู้ขอบเขตของปัญหานี้เลย”
อย่างไรก็ตาม ดร.หว่อง ชี้ว่าผู้บริโภคไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะผลการทดลองทางคลินิกที่ใหญ่ที่สุดในโลกพบว่า แม้แต่การใช้ครีมกันแดด SPF 16 ทุกวัน ก็สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำคือ การทาครีมกันแดดในปริมาณที่เพียงพอ (อย่างน้อย 1 ช้อนชาสำหรับใบหน้าและแต่ละส่วนของร่างกาย) และ ทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่อมีเหงื่อออกหรือหลังว่ายน้ำ พร้อมทั้งใช้วิธีป้องกันอื่นร่วมด้วย เช่น การสวมเสื้อผ้าปกปิดและหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง