[บทความ] SpaceX พลิกเกมอวกาศอย่างไร ? เมื่อจรวดไม่ใช่ของรัฐ แต่คือสินค้าบนสายพานการผลิต
เมื่อพูดถึง “จรวด” และ “การเดินทางในอวกาศ” ภาพในหัวของคนส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นโครงการของรัฐบาลที่ใช้เงินภาษีมหาศาล เต็มไปด้วยความซับซ้อน และดูไกลตัว แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนคิดใหม่ทำใหม่ แล้วบอกว่า “จรวดก็เหมือนรถยนต์นั่นแหละ ผลิตเยอะ ๆ ในโรงงานสิ !”
นี่คือแก่นความคิดที่สั่นสะเทือนวงการอวกาศของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) และ SpaceX ที่ไม่ได้มองจรวดเป็นโปรเจกต์ของชาติ แต่เป็น “สินค้าบนสายพานการผลิต” เปลี่ยนสงครามเย็นยุคเก่าให้กลายเป็นสงคราม “ส่งด่วน” สู่จักรวาลที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้
ย้อนอดีต : เมื่ออวกาศคือสมรภูมิแห่งศักดิ์ศรีและงบประมาณ
ในอดีต อุตสาหกรรมอวกาศขับเคลื่อนด้วยงบประมาณของรัฐบาล ภารกิจด้านความมั่นคง และการแข่งขันเชิงอำนาจในยุคสงครามเย็น NASA คือหัวหอกสำคัญ แต่พวกเขาไม่ได้สร้างจรวดเองทั้งหมด แต่ใช้วิธีจ้างบริษัทเอกชนด้วยสัญญาที่เรียกว่า “Cost Plus Contract” คือยิ่งบริษัทใช้ต้นทุนสูงเท่าไหร่ รัฐก็จะจ่ายเงินให้มากขึ้นเท่านั้น โมเดลนี้ทำให้ไม่มีใครอยากลดต้นทุนหรือสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพราะทำไปก็ไม่ได้เงินเพิ่ม
เมื่อสงครามเย็นจบลง งบประมาณถูกตัด ทหารไม่ได้มองอวกาศเป็นสมรภูมิหลักอีกต่อไป การส่งของขึ้นอวกาศจึงตกอยู่ในมือของบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่อย่าง Boeing และ Lockheed Martin ที่รวมตัวกันตั้ง United Launch Alliance (ULA) ซึ่งแทบจะผูกขาดตลาดไปโดยปริยาย
จุดเปลี่ยน : ชายผู้ฝันจะไปดาวอังคารและหลักการ “First Principle”
ปี 2002 อีลอน มัสก์ หลังจากขาย PayPal ได้เงินก้อนโต ก็ตั้งเป้าหมายที่ดูบ้าบิ่นที่สุด นั่นคือ การส่งมนุษย์ไปดาวอังคาร เขาบินไปรัสเซียเพื่อขอซื้อจรวด แต่ต้องตกใจกับราคาที่แพงมหาศาลจนน่าเหลือเชื่อ
ณ จุดนั้นเองที่เขาตระหนักว่า ราคาจรวดที่แพงลิบลิ่วไม่ได้มาจากราคาวัตถุดิบ แต่มาจาก “กระบวนการจัดการที่ห่วยแตก” และวิธีคิดแบบเดิม ๆ ที่สืบทอดกันมานาน เขาจึงนำหลักการที่เรียกว่า “First Principle Thinking” หรือการคิดจากแก่นแท้ ไม่ใช่การเปรียบเทียบกับสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้
- คนอื่นคิด : จรวดราคา 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จะทำยังไงให้ถูกลงเหลือ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ?
- อีลอน มัสก์ คิด : จรวดทำจากอะไรบ้าง ? อะลูมิเนียม, ไทเทเนียม, ทองแดง, คาร์บอนไฟเบอร์ หรืออื่น ๆ ถ้าเอาวัตถุดิบทั้งหมดมากองรวมกัน ต้นทุนมันแค่ 2% ของราคาขายเองนี่ ! แปลว่าที่เหลือคือค่าจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ
คำตอบของเขาคือ “งั้นก็สร้างทุกอย่างเองในโรงงานเดียวซะเลย” (In-house Production)
Lean Manufacturing : ปรัชญาโตโยต้าในโรงงานจรวด
SpaceX นำปรัชญา Lean Manufacturing แบบเดียวกับที่ Toyota ใช้ปฏิวัติวงการรถยนต์มาปรับใช้ คือการตัดตัวกลาง ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ควบคุมต้นทุน และเร่งความเร็วในการผลิต แม้จะล้มเหลวกับการปล่อยจรวด Falcon 1 ถึง 3 ครั้งรวด แต่ในครั้งที่ 4 ปี 2008 พวกเขาก็ทำสำเร็จ
ความสำเร็จครั้งนั้นทำให้ NASA ที่กำลังปวดหัวกับโครงการ Space Shuttle ที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อเที่ยวบินและเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงในปี 2011 ได้หันมาจับมือกับ SpaceX และในปี 2012 SpaceX ก็กลายเป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่ส่งยานไปเทียบท่าสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ได้สำเร็จ
และประวัติศาสตร์ก็ต้องจารึกอีกครั้งในปี 2015 เมื่อ SpaceX สามารถนำจรวดท่อนแรกกลับมาลงจอดได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก เปิดประตูสู่ยุค “จรวดรีไซเคิล” อย่างเต็มตัว
Starlink : ไม่ใช่แค่อินเทอร์เน็ต แต่คือ “เครื่องปั๊มเงิน”
การนำจรวดกลับมาใช้ใหม่ทำให้ต้นทุนการส่งของ 1 กิโลกรัมขึ้นสู่วงโคจรลดลงอย่างมหาศาล จากยุคก่อนที่สูงถึง 50,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 1,600,000 ล้านบาท) เหลือเพียง 2,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 640,00 บาท) แต่ SpaceX ไม่ได้หยุดแค่นั้น พวกเขาสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมาคือ Starlink หรืออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
Starlink คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่ฉลาดและหลักแหลมที่สุดของ SpaceX เพราะมันถูกคิดและดีไซน์มาเป็นอย่างดีเพื่อทำหน้าที่ 2 อย่างพร้อมกัน
- เป็นสินค้า : ให้บริการอินเทอร์เน็ต สร้างรายได้โดยตรง
- เป็นลูกค้า : เป็น “น้ำหนักถ่วง” ให้กับจรวด Falcon 9 ที่ SpaceX ยิงขึ้นไปเอง
เกิดเป็นวงจรที่ทรงพลังคือ ยิ่งยิงจรวดบ่อย (แม้ไม่มีลูกค้า) ก็ยิ่งส่ง Starlink ขึ้นไปได้เยอะ > ยิ่งมีดาวเทียมเยอะ สัญญาณยิ่งดี คนยิ่งใช้เยอะ > รายได้ยิ่งเพิ่ม > ยิ่งมีเงินมาสร้างจรวดและดาวเทียมเพิ่ม > วนลูป ! จากต้นทุนคงที่ที่ต้องยิงจรวดทิ้ง กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรมหาศาล
Data คือเชื้อเพลิงใหม่ : เรียนรู้จากทุกเที่ยวบิน
จรวด Falcon 9 ถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาด มันใช้เครื่องยนต์ Merlin ขนาดเล็ก 9 ตัวในท่อนแรก ข้อดีคือต่อให้มีเครื่องยนต์ดับไป 1-2 ตัว จรวดยังไปต่อได้ และที่สำคัญกว่านั้นคือ “ข้อมูล”
ทุกครั้งที่ปล่อยจรวด SpaceX จะได้ข้อมูลการทำงานของเครื่องยนต์ทั้ง 9 ตัว ทำให้พวกเขามีข้อมูล “ระดับเครื่องยนต์” มากกว่าคู่แข่งหลายร้อยเท่าในแต่ละปี พวกเขาเก็บข้อมูลทุกอย่าง ทั้งแรงสั่นสะเทือน, ความร้อน, การเผาไหม้, ระบบควบคุม เพื่อนำมาปรับปรุงจรวดให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกเที่ยวบิน
ไม่ได้มาแบ่งเค้ก แต่มา “สร้างตลาดใหม่”
สิ่งที่ SpaceX ทำ ไม่ใช่แค่การเข้ามาแข่งขันในตลาดเดิม แต่คือการ “ขยายตลาด” (Market Expansion) การที่ต้นทุนถูกลงมหาศาล ทำให้คนที่ไม่เคยฝันว่าจะส่งของขึ้นอวกาศได้ สามารถทำได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย, ทีมวิจัยเล็ก ๆ หรือแม้แต่นักเรียนมัธยม ก็สามารถส่งดาวเทียมขนาดจิ๋ว (CubeSat) ขึ้นไปได้ในราคาที่ถูกกว่า iPhone
Starship อนาคตใหม่ของการเดินทาง เมื่อจรวดจะบินได้เหมือนเครื่องบิน
เป้าหมายต่อไปที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมคือ Starship ยานอวกาศขนาดยักษ์ที่ออกแบบมาให้ใช้ซ้ำได้ทั้งลำ 100% และมีเป้าหมายที่จะบินได้ทุกวันเหมือนเครื่องบินพาณิชย์ มันถูกสร้างจากสเตนเลสที่ผลิตง่าย ทดสอบง่าย และราคาถูก เพื่อรองรับภารกิจไปดวงจันทร์ ดาวอังคาร หรือแม้กระทั่งการเดินทางข้ามทวีปบนโลกในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
ท้ายที่สุดแล้ว หัวใจของ SpaceX ไม่ใช่แค่การสร้างจรวด แต่คือการสร้าง “เครื่องจักรที่ใช้สร้างเครื่องจักร” (Machine that builds the machine) เป็นการพลิกวิธีคิด เปลี่ยนอุตสาหกรรมที่เคยหยุดนิ่งให้กลับมามีชีวิตชีวา และทำให้โลกอนาคตที่เราเคยเห็นในหนังไซไฟ กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ในวันนี้