ท่องเที่ยวตีปีกรับไฮซีซัน ยอดจองโรงแรม ‘ภูเก็ต’ ล่วงหน้าพุ่ง
การชะลอตัวของต่างชาติเที่ยวไทย กว่า 7 เดือนที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง และสารพัดปัจจัยลบที่เกิดขึ้น ทำให้มีแนวโน้มว่าปีนี้ไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 33.8 ล้านคน ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 39 ล้านคน ส่งผลให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ต้องประคองตัวอย่างเต็มที่เพื่อรอการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวช่วงไฮซีซันนี้ ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น จากบุ๊กกิ้งการจองช่วงไตรมาส 4 ที่มีการจองล่วงหน้าเข้ามาแล้ว
สำหรับโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวหลัก โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 4-5 ดาวภูเก็ต ในพื้นที่ติดทะเล ซึ่งมีบุกกิ้งเข้ามาแล้วเป็นจำนวนมาก การขยายตัวของเส้นทางการบินใหม่เข้าไทยมากขึ้น อีเว้นท์ใหญ่ และกีฬาระดับนานาชาติที่จัดในไทย
นางธีรวัลคุ์ เตชะอุบล เจ้าของและผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการกลุ่มโรงแรม ในเครือเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ ซึ่งมีกว่า 23 โรงแรมทั่วไทย กล่าวว่า การชะลอตัวของนักท่องเที่ยว ประกอบกับเศรษฐกิจชลอตัว ส่งผลให้ตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มโรงงานจะหายไปราว 20 %
ทำให้ภาคธุรกิจต้องประคองตัว รับมือผลกระทบที่เกิดขึ้น ชลอแผนลงทุนใหม่ เพื่อเก็บเงินไว้ก่อน โดยยอมรับช่วงโลว์ซีซันนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัวกว่าโลว์ซีซันปีที่ผ่านมา
ส่วนไฮซีซันที่จะถึงนี้ ถือว่าดีกว่าไฮซีซันปีที่ผ่านมา โดยจะเห็นว่าโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวของเคป แอนด์ แคนทารี ตอนนี้ยอดบุ๊กกิ้งล่วงหน้าของเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้เกือบเต็มหมดแล้ว โดยเฉพาะภูเก็ต
ขณะนี้โรงแรมที่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก คือ โรงแรมเคปฟาน เกาะสมุย รายได้ปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 20% ซึ่งเป็นเพราะกระแสการถ่ายทำซีรีส์ The White Lotus Season 3 ขณะที่โรงแรมที่ภูเก็ต รายได้น่าจะเท่ากับปีที่แล้ว เชียงใหม่ หัวหินก็ได้รับการตอบรับที่ดี นางธีรวัลคุ์ กล่าว
สำหรับปัจจัยสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงไฮซีซันนี้ ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมนี้ถึงไตรมาส 1 ปีหน้า ททท.ยังเตรียมจะเปิดตัวแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของประเทศไทย นอกจากอีเว้นท์ต่างๆด้านการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีอีเว้นท์เทศกาลดนตรี และกีฬาระดับ อย่าง Tomorrow land ,FIVB Volleyball women’s world 2025 ในวันที่ 22 ส.ค. -7 ก.ย. 68 (จัดที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต นครราชสีมา) ต่อด้วยซีเกมส์ และยังมีการเตรียมจะจัดประชุมเวิลด์แบงก์ในปีหน้า เป็นปัจจัยดึงดูดนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง ยังช่วยสร้างความภาพลักษณ์ที่ดี ให้กับการท่องเที่ยวไทย มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเฉียด 4 พันล้านบาท ภายใต้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเปิดเส้นทางบินเข้าไทย ในช่วงตารางบินฤดูหนาวนี้
ทั้งนี้ปัจจุบันสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ CAAT อยู่ระหว่างการพิจารณาเที่ยวบินตารางบินฤดูหนาวที่จะทำการบินเข้าไทย ร่วมกับ 80 สายการบิน เพื่อรองรับการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันนี้ เฉพาะเส้นทางบินใหม่ที่สำคัญและได้รับการพิจารณาจัดสรรเวลาการบินในฤดูหนาว 2568/2569 (Winter 2025)นี้ แล้ว
อาทิ การกลับมาเปิดเที่ยวเข้าไทยของยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส เส้นทางบิน ลอสแอนเจลิส - ฮ่องกง -สุวรรณภูมิ และกลับ การเปิดบินเส้นทางบินของไทยแอร์เอเชีย ในเส้นทางบิน ริยาด-ดอนเมือง, ปูซาน-ดอนเมือง ดานัดภูเก็ต,โคลัมโบ-ภูเก็ต สายการบินแอร์ฟรานซ์ เปิดบินปารีส -ภูเก็ต สายการบินไหหนาน แอร์ไลน์ เปิดเส้นทางไหโชว่-ภูเก็ต และไหโข่ว -เชียงใหม่ สายการบินเอทิฮัด เปิดเส้นทางบินอาบูดาบี-เชียงใหม่
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยในปีนี้ ไม่ต่างจากโรลเลอร์โคสเตอร์ เพราะได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยมาต่อเนื่องโดยเฉพาะปัญหาความไม่ปลอดภัย ทำให้เกิดการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน และล่าสุดปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น
จากการติดตามสถานการณ์ท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศเข้าไทย เปรียบเทียบระหว่างสัปดาห์ที่เกิดเหตุความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ตลอดช่วงวันที่ 21 -27 ก.ค. 2568 กับหลังเกิดเหตุตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.-3 ส.ค. 2568 พบว่าเริ่มมีผลกระทบรุนแรงขึ้น โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ลดลง 5 % จากที่มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 1 % ในช่วงวันที่ 21-27 ก.ค. เทียบกับวันที่ 14-20 ก.ค.68 และลดลง 18 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567
ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.-3 ส.ค. 68 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีชายแดนติดกับไทย และตลาดที่มีความอ่อนไหวสูงหรือกังวลด้านความปลอดภัย โดยตลาดอาเซียน ลดลง 25 % โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกัมพูชา ลดลง 89% นักท่องเที่ยวเวียดนาม ลดลง 53% นักท่องเที่ยวลาว ลดลง 48% นักท่องเที่ยวอินโดนีเซีย ลดลง 26% นักท่องเที่ยวมาเลเซีย ลดลง 14% และนักท่องเที่ยวสิงคโปร์ ลดลง 8%
ขณะที่นักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ลดลง 30% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ลดลง 40% นักท่องเที่ยวฮ่องกง ลดลง 33% นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ และนักท่องเที่ยวไต้หวันลดลง 17%
การลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่จะเป็นตลาดระยะใกล้ สวนทางกับตลาดระยะไกลที่ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นโดยนักท่องเที่ยวอินเดีย เพิ่มขึ้น 16% ออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 9% อิสราเอล เพิ่มขึ้น 53% สหราชอาณาจักรและอิตาลี เพิ่มขึ้น สวีเดน เพิ่มขึ้น 8% ฝรั่งเศสและออสเตรีย เพิ่มขึ้น 13% ยุโรปตะวันออก เพิ่มขึ้น 3% โอมาน เพิ่มขึ้น 3% และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพิ่มขึ้น 1%
ขณะที่จากข้อมูลการจองล่วงหน้า หรือ Forward Booking จากระบบ Forwardkeys พบว่า ภาพรวมยอดจองบัตรโดยสารเครื่องบินล่วงหน้ามายังประเทศไทย เดือนส.ค.68 ณ วันที่ 29 ก.ค.68 หลังเกิดเหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มมีสัญญาณหดตัว 3% จากเดิมที่มียอดจองเพิ่มขึ้น 0.4 % จากข้อมูลการจองก่อนเกิดเหตุฯ ณ วันที่ 21 ก.ค. 68
ดังนั้นททท.จึงเดินหน้าสื่อสารสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการขยายตลาดระยะไกลที่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และรุกกระตุ้นการท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง ภายใต้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 3,960 ล้านบาท
อาทิ กิจกรรมส่งเสริมเที่ยวบินเช่าเหมาลำ ในตลาดจีนและตลาดต่างประเทศอื่นๆ ด้วยการสนับสนุนเที่ยวบินละ 350,000 บาท ไม่น้อยกว่าจำนวน 1,000 เที่ยวบิน จำนวน 15 เมืองจากเมืองรองของจีนและตลาดศักยภาพ เพื่อดึงเที่ยวบินเหล่านี้เข้าสู่กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย พัทยา (อู่ตะเภา) กระบี่ และสมุย
การทำตลาดการท่องเที่ยวไทยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือ OTA ทั้งของไทยและต่างชาติกว่า 20 รายการสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นประเทศไทย เพื่อการท่องเที่ยว “Trusted Thailand” การกระตุ้นการเดินทางเที่ยวในประเทศ ผ่านโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง เพื่อเข้าอุดช่องโหว่ช่วงโลว์ซีซัน เป็นต้น
โดยขณะนี้เป็นโลว์ซีซันการท่องเที่ยวอยู่ในช่วงตกท้องช้าง ททท.จะเน้นใช้งบเพื่อกระตุ้นตลาด ส่วนในไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซัน ททท.ไม่ห่วง เนื่องจากพบว่าโรงแรมต่างๆ โดยเฉพาะภูเก็ต มีบุกกิ้งเข้ามาแล้วจำนวนมาก เช่นเดียวกับการเปิดบินของสายการใหม่ๆที่เข้ามาในช่วงดังกล่าวสูงมาก