ปรับโฟกัส เปลี่ยนพฤติกรรม เส้นทางหลุดพ้นวิกฤติหนี้ครัวเรือน
หลังจากวิกฤติโควิดเริ่มคลี่คลายลง ครัวเรือนมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวเป็นปกติ รายได้ฟื้นตัว ซึ่งจะช่วยให้ปัญหาหนี้คลี่คลายลงบ้าง แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับไม่เป็นอย่างนั้น หนี้ครัวเรือนกลับมาเป็นประเด็นของสังคมอีกครั้ง สัดส่วนหนี้เสียของภาคครัวเรือนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด และรายได้ครัวเรือนยังไม่ฟื้นตัวกลับมา ปัจจัยเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ครัวเรือนยังไม่สามารถปลดล็อกตัวเองจากปัญหาหนี้ได้
นอกจากปัญหาเศรษฐกิจที่กล่าวไป อาจมีอีกสาเหตุของหนี้ครัวเรือนที่ยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก บทความนี้ ผู้เขียนจึงอยากฉายภาพอีกมุมหนึ่งของปัญหาหนี้ครัวเรือน คือ ทัศนคติที่เริ่มสิ้นหวังของครัวเรือนและไม่มั่นใจว่าจะสามารถหลุดพ้นจากวงจรหนี้ได้ ซึ่งเป็นผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่องบการเงินของครัวเรือนเท่านั้น แต่ยังกัดกร่อนสภาพจิตใจของครัวเรือนด้วย จนอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ในไตรมาสแรกของปี 2568 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 87.4% จากระดับสูงสุดที่ 95.5% ในไตรมาสแรกของปี 2564 แต่หากพิจารณาในรายละเอียดพบว่า การลดลงของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยตั้งแต่ช่วงปี 2567 เป็นต้นมา มีที่มาจากความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อใหม่ ในขณะที่ความต้องการกู้ยืมยังคงทรงตัว ส่งผลให้ยอดสินเชื่อคงค้างชะลอตัวต่อเนื่องและเริ่มหดตัวในไตรมาสแรกของปี 2568 ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวจำกัด สะท้อนถึงความเปราะบางที่ยังคงอยู่ของภาคครัวเรือน ซึ่งต้องเผชิญกับภาระหนี้เดิมที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่เดิมจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญอย่างยิ่งในการพาครัวเรือนออกจากวิกฤติหนี้
สภาวะเศรษฐกิจและพฤติกรรมครัวเรือน เหรียญสองด้านของปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย
จุดเริ่มต้นของการแก้ไขภาระหนี้เดิมของครัวเรือน คือการทำความเข้าใจเงื่อนไขการตัดสินใจชำระหนี้ของครัวเรือนไทย ผ่านสองปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ข้อจำกัดทางงบประมาณ ซึ่งถูกกำหนดผ่านสภาพเศรษฐกิจ รายได้และรายจ่าย รวมถึงขนาดของภาระหนี้ และอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ปัจจัยด้านพฤติกรรมของครัวเรือน ว่าจะตัดสินใจนำทรัพยากรการเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันไปใช้ชำระหนี้ เพื่อให้ภาระหนี้ในอนาคตเบาบางลง หรือเลือกบริโภคในปัจจุบันแทน เช่น การที่ครัวเรือนตัดสินใจเลือกชำระหนี้แค่ขั้นต่ำ แม้มีศักยภาพเพียงพอที่จะชำระเพิ่มขึ้น แต่ก็ยอมแลก (Trade-off) ระหว่างสภาพคล่องในปัจจุบันและภาระดอกเบี้ยในอนาคต
จากงานศึกษาต่างประเทศ พบว่าเมื่อครัวเรือนประสบปัญหาทางเศรษฐกิจพร้อมกันหลายด้าน เช่น หนี้สูง การเติบโตทางเศรษฐกิจอ่อนแอ รวมถึงความผันผวนทางการเมืองที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จะทำให้ครัวเรือนเกิดความรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เหล่านั้นได้ ส่งผลให้ครัวเรือนขาดแรงจูงใจ เมินเฉย ยอมรับสภาพปัญหา และไม่อยากคิดถึงอนาคต ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับปัจจัยด้านพฤติกรรมการตัดสินใจชำระหนี้ของครัวเรือนตามมา
สภาวะนี้มีชื่อเรียกทางจิตวิทยาว่า การเรียนรู้ความหมดหวัง (Learned helplessness) เป็นสภาวะที่ครัวเรือนเรียนรู้จากประสบการณ์ความล้มเหลวและสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ ทำให้เชื่อว่าตนเองคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือควบคุมสถานการณ์ได้ หากมองในมุมของพฤติกรรมการชำระหนี้ในบริบทของปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย อาจนำผลการศึกษานี้มาประยุกต์ใช้ได้กับปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย ในปัจจุบันครัวเรือนส่วนหนึ่งเผชิญปัญหาทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าไม่สดใส จึงเริ่มเรียนรู้ว่า ต่อให้พยายามลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาหนี้กี่ครั้งก็ตาม ความพยายามนั้นก็ "ไม่ช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น" จึงอาจทำให้ครัวเรือนตัดสินใจใช้ทรัพยากรการเงินเพื่อการใช้จ่ายในปัจจุบัน มากกว่าการจ่ายคืนหนี้เพื่อลดภาระหนี้ในอนาคต
หลักการทางจิตวิทยานี้สามารถอธิบายได้โดยการทดลองแบ่งผู้เข้าร่วมเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกทำข้อสอบความยากระดับปกติ ส่วนอีกกลุ่มทำข้อสอบที่ยากจนไม่สามารถหาคำตอบได้ หลังจากทำข้อสอบชุดแรกแล้ว ได้ทดลองให้ผู้เข้าร่วมทั้งสองกลุ่มทำข้อสอบความยากในระดับปกติอีกครั้ง พบว่ากลุ่มที่เคยเจอข้อสอบที่ยากเกินไปกลับมีแนวโน้มจะยอมแพ้และไม่พยายามทำข้อสอบต่อให้เสร็จ เช่นเดียวกันกับครัวเรือนไทยที่เผชิญโจทย์ทางเศรษฐกิจที่ยากเกินกำลัง แม้เศรษฐกิจอาจฟื้นตัวได้ในอนาคต แต่หากครัวเรือนไทยส่วนหนึ่งกำลังประสบปัญหา Learned helplessness ก็จะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนให้ลดลงได้อย่างต่อเนื่อง
ภาวะ Learned helplessness สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมของครัวเรือนในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาหนี้หลายรูปแบบ โดยจะขอยกตัวอย่างพฤติกรรมหลัก ๆ บางตัวอย่างเช่น
(1) พฤติกรรมปฏิเสธสถานการณ์ “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน สำหรับสะท้อนการรับรู้แต่ไม่ยอมรับและไม่หาทางออกสำหรับปัญหา แม้ครัวเรือนจะตระหนักว่าตนมีภาระหนี้ แต่ภาวะ Learned helplessness ทำให้เกิดความเชื่อว่าความพยายามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ ซึ่งอาจช่วยอธิบายพฤติกรรมเมินเฉย ไม่ตอบสนองต่อภาระหนี้ และไม่ปรับตัวแม้เผชิญวิกฤติการเงิน
(2) พฤติกรรมขาดการมองภาพอนาคต เช่น การชำระหนี้เพียงขั้นต่ำ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กว่า 30% ของครัวเรือนเลือกชำระหนี้เพียงขั้นต่ำและสุ่มเสี่ยงเป็นหนี้เรื้อรัง รวมถึงการที่ครัวเรือนรายได้น้อยส่วนใหญ่ เลือกชำระหนี้ที่เจ้าหนี้ติดตามทวงถามมากที่สุดก่อน แทนการเลือกชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าหรือมีโอกาสปิดจบได้ก่อน เมื่อพิจารณาในแง่พฤติกรรม อาจบอกได้ว่าครัวเรือนเหล่านี้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากกว่าการวางแผนปิดจบหนี้ในระยะยาว
(3) พฤติกรรมเมินเฉยต่อความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น เมื่อเกิดปัญหาการชำระหนี้ ครัวเรือนมักขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องก่อน แต่การช่วยเหลือนี้เป็นเพียงการช่วยเหลือชั่วคราว สุดท้ายครัวเรือนก็ยังคงกลับมามีปัญหาหนี้อยู่ ความล้มเหลวซ้ำ ๆ เช่นนี้ยิ่งเสริมแรง Learned helplessness ทำให้ครัวเรือนเรียนรู้ว่าการขอความช่วยเหลือไม่ช่วยแก้ปัญหา สุดท้ายครัวเรือนจึงอาจไม่กระตือรือร้นเท่าที่ควรในการขอความช่วยเหลือจากเจ้าหนี้หรือภาครัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่การปิดกั้นตัวเองและไม่ยอมหาทางออก
พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนมีรากฐานการตัดสินใจบนความสิ้นหวัง หากนำกรอบคิดนี้มาเชื่อมโยงกับพฤติกรรมการชำระหนี้ จะพบว่าในเชิงทฤษฎี แม้ผู้ที่มีงบประมาณเพียงพอที่จะสามารถตัดสินใจชำระหนี้ได้ แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะ Learned helplessness อาจเลือกไม่ชำระหนี้ เพราะมองว่าไม่มีทางออกที่แท้จริงของการหลุดพ้นจากวงจรหนี้
การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเชิงพฤติกรรม
การแก้หนี้อย่างยั่งยืนผ่านมิติพฤติกรรมครัวเรือน นอกจากตัวครัวเรือนเองแล้ว ภาคส่วนอื่นสามารถช่วยให้ครัวเรือน “Unlearn” ความสิ้นหวังที่ได้เรียนรู้มา และ “Relearn” มุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับหนี้ ได้
ในระดับครัวเรือน การสะกิดพฤติกรรมตนเอง (Self-nudge) กระตุ้นพฤติกรรมด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีเพียงเล็กน้อย สามารถนำไปสู่การ Unlearn ความสิ้นหวังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านวิธีการเช่น (1) การใช้ตัวช่วยเตือนตนเอง ตั้งระบบเตือนกำหนดชำระหนี้และทำบัญชีรายรับรายจ่าย สร้างความเข้าใจและยอมรับในสถานการณ์ของตน (2) การตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ แทนที่จะมองว่าตนเองต้องชำระหนี้ได้ทีเดียวทั้งหมด เพื่อสร้างวินัยและความหวัง กระตุ้นแรงจูงใจในการชำระหนี้ต่อไป (3) การเลี่ยงสิ่งที่อาจกระตุ้นความสิ้นหวัง เช่น หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ไม่สร้างความสิ้นหวังใหม่ และ (4) การสร้างแรงบันดาลใจให้ตนเองผ่านผู้อื่นที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยอาจรับความช่วยเหลือและคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่ประสบปัญหาเดียวกันแต่แก้ปัญหาได้สำเร็จ
ในระดับนโยบาย การออกแบบนโยบายแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน อาจไม่ใช่แค่การสนับสนุนภาคครัวเรือนผ่านเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเงิน แต่ควรคำนึงถึงปัจจัยพฤติกรรมของครัวเรือนด้วย เช่น ในปัจจุบันภาครัฐออกมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย เฟส 2” ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ครัวเรือนสามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น โดยมีมาตรการย่อย ได้แก่ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ช่วยลดภาระจ่ายค่างวดของครัวเรือนในแต่ละเดือน ค่างวดที่ผ่อนจ่ายไปนั้นจะถูกนำไปตัดต้นเงินกู้ทั้งหมด โดยได้พักดอกเบี้ยไว้ มาตรการนี้จะช่วยให้ลูกหนี้ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น เป็นการตั้งเป้าหมายใหม่ให้ครัวเรือนกลับมาฮึด “สู้” อีกครั้งได้
หากมองในเชิงพฤติกรรมแล้ว ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการนี้สามารถชำระหนี้ไปได้ระยะหนึ่ง จะช่วยลดทอนภาวะ Learned helplessness ได้บ้าง และมีความหวังจะกลับมาเผชิญกับปัญหาหนี้ได้ จากการสร้างแรงจูงใจเชิงบวก เพื่อให้ครัวเรือนมีเป้าหมายและรู้สึกว่าความพยายามของตนไม่สูญเปล่า ซึ่งอาจช่วยจูงใจให้ครัวเรือนกลับมาสู้พร้อมกับการ Unlearn และ Relearn ใหม่ได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี นโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนควรครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ผู้กำหนดนโยบายจึงควรยึดหลักการแก้ไขปัญหาให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของแต่ละครัวเรือน โดยไม่เป็นการสร้างแรงจูงใจแบบผิด ๆ ให้ครัวเรือนไม่พยายามชำระหนี้เพราะทราบว่าจะมีการยกหนี้ให้ และไม่จำกัดโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ ซึ่งอาจทำผ่านนโยบายแก้หนี้ต่าง ๆ ทั้งรูปแบบการปรับโครงสร้างหนี้ การให้คำปรึกษา และทางเลือกล้มละลายของครัวเรือน ควบคู่กับการกำกับการปล่อยหนี้ใหม่ให้มีคุณภาพ และปรับเงื่อนไขการเข้าถึงเงินทุนตามความเสี่ยง เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นให้ครัวเรือนฟื้นตัวจากวิกฤตหนี้ และนำไปสู่การใช้สินเชื่อเพื่อพัฒนาชีวิตอย่างยั่งยืนในอนาคต
แนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยให้สำเร็จจึงไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขหนี้ที่เห็นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความหวัง วินัย และการสร้างระบบจูงใจเบื้องหลัง ที่จะช่วยสนับสนุนให้ครัวเรือนไม่ยอมแพ้ โดยความพยายามของครัวเรือนและการสนับสนุนจากสถาบันการเงินและภาครัฐ จะเป็นกุญแจสำคัญ เพื่อสร้างสังคมที่เปลี่ยนผ่านจากหนี้ที่เป็นปัญหาชีวิต สู่การมีหนี้ที่ยังคงมีหวังฟื้นฟูชีวิต
อ้างอิง :
- Öztutuş, F., & Eroğlu, Y. (2024). The interrelation between culturally learned helplessness and economic underdevelopment. Universal Journal of History and Culture, 6(2), 120–140. https://doi.org/10.52613/ujhc.1496419
- ข้อมูลจาก BOT SYMPOSIUM 2567 โดยใช้ข้อมูลเครดิตบูโรไตรมาส 4/2567
- ข้อมูลจาก SCB EIC Consumer survey 2567 สำรวจ ณ 14 - 22 ต.ค. 2567 (จำนวนตัวอย่าง 1,869 คน)
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ปรับโฟกัส เปลี่ยนพฤติกรรม เส้นทางหลุดพ้นวิกฤติหนี้ครัวเรือน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “ศิริกัญญา” แนะภูมิใจไทยเสนอญัตติด่วน แทนเปิดอภิปราย ม.152 -ภาษีทรัมป์ คาดได้ไม่เกิน 20%
- ปรับโฟกัส เปลี่ยนพฤติกรรม เส้นทางหลุดพ้นวิกฤติหนี้ครัวเรือน
- เปิดประวัติ "ดร.ลัษมณ อรรถาพิช" ผู้จัดการใหญ่คนใหม่เครดิตบูโร ผู้รับไม้ต่อจาก "สุรพล โอภาสเสถียร"
- ถึงเศรษฐกิจซบเซา แต่ตลาด Luxury ยังโต เพราะ "กลุ่มรายได้สูง" ยังพร้อมเปย์แต่หนี้เสียน้อยกว่า
- “ภูมิธรรม” ลั่นต้องเด็ดขาด เพราะงานไม่ลื่นไหล ยืนยันทำจริง ปราบยาเสพติดไม่ได้ ย้ายแน่
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath