"วราวุธ" กำชับ ศบปภ.ภาคกลาง ดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ ครบทุกมิติ
“วราวุธ” กำชับ ศบปภ.ภาคกลาง พม. เตรียมความพร้อมดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ ครบทุกมิติ
วันที่ 18 ก.ค.68 ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการบริหารการดูแลกลุ่มประมาณจากภัยพิบัติในพื้นที่ภาคกลาง และ 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง (จังหวัดอุทัยธานี พิจิตร นครสวรรค์) พร้อมมอบนโยบายและข้อเสนอแนะในการบริหารดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ เนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีนายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่น นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม รวมทั้งมี สส. พรรคชาติไทยพัฒนา อาทิ นายประภัตร โพธสุธน นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ นายสรชัด สุจิตต์ และนายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นายอุดม โปร่งฟ้า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี ดร.สุจิตรา ทรงมัจฉา เลขานุการนายก อบจ. สุพรรณบุรี เข้าร่วมให้ข้อเสนอแนะการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ
ในที่ประชุมมีการนำเสนอแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติระดับภาค โดย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ (ผอ.สสว.) สสว.1 สสว.2 สสว.3 สสว.7 และการนำเสนอแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติระดับจังหวัด โดยพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ในพื้นที่ภาคกลาง จำนวน 25 จังหวัด (จังหวัดสุพรรณบุรี, นครปฐม, กาญจนบุรี, ราชบุรี, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชัยนาท, สิงห์บุรี, ลพบุรี, อ่างทอง, พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี, นนทบุรี, สระบุรี, นครนายก, สมุทรปราการ, ปราจีนบุรี, สระแก้ว, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี และตราด) และ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง จำนวน 3 จังหวัด (จังหวัดอุทัยธานี พิจิตร นครสวรรค์)
นับเป็นโอกาสดีที่ได้มาเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการบริหารการดูแลกลุ่มประมาณจากภัยพิบัติในพื้นที่ภาคกลาง และ 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง (จังหวัดอุทัยธานี พิจิตร และนครสวรรค์) โดยที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่จังหวัดสงขลาในเดือนพฤศจิกายน 2567 , จังหวัดเชียงใหม่ในเดือนธันวาคม 2567 และจังหวัดขอนแก่นในเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งวันนี้ได้มาลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยสถานการณ์และปัญหาเกี่ยวกับภัยพิบัติในแต่ละพื้นที่นั้น ย่อมมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละพื้นที่
สำหรับภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง มีลักษณะภูมิประเทศครอบคลุมพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลำน้ำสาขาที่ไหลลงสู่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้ภาคกลางเป็นภูมิภาคที่มีความอุดมสมบูรณ์ และพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม ดินมีความอุดมสมบูรณ์ อากาศอบอุ่น มีฝนตก แม่น้ำ-คลองไหลผ่าน รวมถึงมีการพัฒนาด้านระบบชลประทาน จึงทำให้เป็นหนึ่งในภูมิภาคเกษตรกรรมที่มีผลผลิตสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก อย่างไรก็ตามภูมิภาคนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมบ่อยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย(ข้อมูลตามแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand’s National Adaptation Plan : NAP) และพบว่าในพื้นที่ภาคกลางมีการแบ่งสถานการณ์น้ำท่วมออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรก ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ช่วงที่สอง ระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่งมีกลุ่มเปราะบางที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. อาศัยอยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน 885,650 คน โดยมีผู้สูงอายุมากที่สุด จำนวน 638,407 คน รองลงมา ได้แก่ เด็ก จำนวน 114,592 คน คนพิการ จำนวน 108,609 คน และคนยากไร้ จำนวน 24,042 คน
แม้ว่าการจัดอันดับของดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ประจำปี 2568 หรือ Climate Risk Index 2025 โดย Germanwatch ได้จัดอันดับประเทศเสี่ยงสูงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว โดยประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 30 ซึ่งลดลงจากอันดับ 9 ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความถี่และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น และก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรกลุ่มเปราะบาง มักจะได้รับผลกระทบมากกว่าคนกลุ่มอื่น ดังนั้น การบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งในช่วงก่อนเกิด ระหว่างเกิด และหลังเกิดภัยพิบัติ จะต้องมองไปที่มิติของคนและสังคมมากขึ้น เพราะหากได้รับผลกระทบแล้ว จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู และใช้ทรัพยากรเป็นอย่างมาก ซึ่งการจัดทำแผนปฏิบัติการหรือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้กลุ่มคนเปราะบางที่ประสบภัยสามารถอยู่รอด และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว จะทำให้ความสูญเสียมีน้อยลง เห็นได้จากสถานการณ์วิกฤตน้ำท่วมจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เป็นบทเรียนที่สำคัญที่ต้องถอดบทเรียนในการเตรียมความพร้อมกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ขณะนี้ กระทรวง พม. มีความคืบหน้าในการดำเนินงานในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในเรื่องการแก้ไขปัญหากลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ และการเตรียมความพร้อมในการรับมือ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ 1) การจัดตั้งศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) หรือ Disaster Care Center for the Vulnerable : DCCV เพื่อขับเคลื่อนงานให้ความช่วยเหลือ ดูแล และเยียวยากลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติเชิงรุก ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อีกทั้งเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือ การปรับตัว สำหรับกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ 2) เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2568 กระทรวง พม. ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ(MOU) “การบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” เพื่อบูรณาการและขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมในการรับมือ รวมถึงการวางแผนระดับพื้นที่ และเชื่อมโยงการวางแผนตามแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3) การขับเคลื่อนเชิงนโยบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยหน่วยงาน พม. ในส่วนกลาง ได้มีการดำเนินงานมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมา พม.ได้ร่วมมือกับธนาคารโลก (World Bank) ขับเคลื่อนงานด้านมิติทางสังคมของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Social Dimensions of Climate Change) ในภาพรวมได้เห็นสอดคล้องกันว่า บทบาทของกระทรวง พม. จะไม่เพียงอยู่ในช่วงของการช่วยเหลือฟื้นฟูเท่านั้น แต่จะต้องสามารถสนับสนุนข้อมูลให้แก่จังหวัด ด้วยการชี้เป้าได้ว่า กลุ่มเปราะบางที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัตินั้น คือใคร อาศัยอยู่ที่ไหน และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเฉพาะในเรื่องใดบ้าง เพื่อให้สามารถจัดลำดับในการช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที
กระทรวง พม. ให้ความสำคัญกับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติต่อกลุ่มเปราะบาง แต่มิได้หมายความว่า เราจะละเลยการช่วยเหลือดูแลประชากรกลุ่มอื่น ๆ แต่เนื่องจากกลุ่มเปราะบางเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate risk) มากกว่า เพราะมีการเปิดรับต่อภัย (Exposure) และความอ่อนไหวต่อผลกระทบ (Sensitivity) มากกว่ากลุ่มคนทั่วไป ขณะเดียวกันศักยภาพในการปรับตัว (Adaptive capacity) ก็น้อยกว่าอีกด้วย กระทรวง พม. จึงให้ความสำคัญกับกลุ่มคนดังกล่าวเป็นพิเศษ และนี่คือการทำงานของเราที่คำนึงถึงความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ (Climate justice)
สำหรับการจัดการภัยพิบัติและการช่วยเหลือดูแลประชาชน นั้น ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น และบทบาทหน้าที่ของกระทรวง พม. ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 โดยการสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน 6 (สปฉ. 6) ที่เกี่ยวข้องกับส่วนงานสวัสดิการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ครอบคลุมในเรื่องการประสานงานและสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว การแจกจ่ายสิ่งของจำเป็นแก่ผู้ประสบภัย การสังคมสงเคราะห์ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสวัสดิการด้านสาธารณภัย การวางแผนให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย การดูแลบุคคลที่ต้องได้รับการดูแลเป็นกรณีพิเศษ การฟื้นฟูด้านสังคมและจิตใจ การให้บริการสาธารณกุศล การกำหนดแนวทางช่วยเหลือผู้ว่างงานเนื่องจากการเกิดสาธารณภัย การช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่พิการ เจ็บป่วย หรือบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานขณะเกิดภัย ซึ่งในรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานนั้น หน่วยงาน พม. ในพื้นที่จะต้องมีการจัดทำแผนบริหารจัดการในส่วนที่เป็นการดำเนินงานและการประสานงานกับหน่วยงานอื่น และภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม
เราคิดว่าการขับเคลื่อนศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) กระทรวง พม. เพื่อช่วยแก้ไขปัญหากลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ เนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นั้นมีความก้าวหน้าไปมากในหลายด้าน ทั้งเรื่องข้อมูลกลุ่มเปราะบาง และแผนรับมือภัยพิบัติ ซึ่งกระทรวง พม. ได้มีการจัดทำแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติระดับประเทศ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการเชื่อมโยงไปสู่การจัดทำแผนในระดับภาค ระดับจังหวัด ได้ขอให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทุกจังหวัด นำเสนอแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติระดับจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ได้นำเสนอแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติระดับภาค เพื่อที่ประชุมได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฯ และใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ