หุ้นสิงคโปร์พุ่งทำนิวไฮใหม่ เข้าใกล้ ‘ตลาดกระทิง’ 6 ปัจจัยดึงเงินลงทุน
สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานว่า “ตลาดหุ้นสิงคโปร์” ที่เคยถูกมองว่าเป็นตลาดเล็กๆ ที่ไม่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหากำไร ตอนนี้กลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “ตลาดกระทิง”
ดัชนี Straits Times Index (STI) ซึ่งได้รับแรงหนุนจากผลกำไรที่แข็งแกร่งในปีที่แล้ว ได้เติบโตขึ้นเกือบ 10% ในปี 2568 แซงหน้าดัชนีสำคัญอย่าง S&P 500 ของสหรัฐอเมริกา และดัชนีอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันหลายแห่งไปแล้ว และข้อมูลจาก LSEG ระบุว่าดัชนี STI ได้พุ่งขึ้นแล้วกว่า 23% นับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 9 เม.ย.68 ที่ผ่านมา
อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนตลาด?
นักลงทุนทั้งรายใหญ่ และรายย่อยต่างให้ความสนใจตลาดหุ้นสิงคโปร์ โดยมีปัจจัยหนุนจากการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์, การจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น, เงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง, และสถานะของประเทศที่โดดเด่นในฐานะ "แหล่งหลบภัยที่ปลอดภัยทางภูมิรัฐศาสตร์"
ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปรับตัวขึ้นประมาณ 6% ในปีนี้
เงินสำรองทางการคลังที่แข็งแกร่ง โดยสิงคโปร์มีเงินสำรองทางการคลังที่เพียงพอ ทำให้ประเทศมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสูง
ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นในระดับสูง โดยสิงคโปร์มีผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Shareholder Returns) ที่สูงกว่าหลายตลาดพัฒนาแล้ว ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุน
เงินปันผลที่น่าดึงดูด จากการวิจัยของ CLSA สิงคโปร์มีอัตราการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ 60% ซึ่งเป็นอันดับ 2 รองจากออสเตรเลียในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดย GDP ในไตรมาสที่สอง เพิ่มขึ้น 4.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บ่งชี้ถึงความยืดหยุ่นของภาคบริการ และอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง
โครงการพัฒนาตลาดทุน (EMDP) ของธนาคารกลางสิงคโปร์ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะอัดฉีดเงิน 5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เข้าสู่หุ้นขนาดเล็ก และขนาดกลางในประเทศเพื่อฟื้นฟูสภาพคล่องในตลาด ขณะนี้ กองทุนแรกมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ได้ถูกจัดสรรให้กับผู้จัดการกองทุนสถาบันสามรายแล้ว
จับอนาคตตลาดหุ้นสิงคโปร์
หุ้นในภาคโทรคมนาคม และสาธารณูปโภค เป็นกลุ่มผู้นำ โดย Singtel ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ เติบโตมากกว่า 28% นับตั้งแต่ต้นปี ขณะที่บริษัทสาธารณูปโภคอย่าง Sembcorp Industries และ Union Gas Holding บริษัทผู้ให้บริการด้านพลังงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 38% และ 18% ตามลำดับในปีนี้
ทิลัน วิกรมสิงห์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยจาก Maybank กล่าว "เรากำลังอยู่ในตลาดกระทิง และวันนี้ผมขอบอกว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น และยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก"
วิกรมสิงห์ ตั้งข้อสังเกตว่างินลงทุนจากสถาบันเพิ่งเริ่มกระจายไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ในตลาดทุนสิงคโปร์ รวมถึงกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และ หุ้นกลุ่มผู้บริโภค
ล่าสุด JPMorgan ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ดัชนี STI โดยคาดว่าจะแตะระดับ 4,500 จุด และอาจพุ่งไปถึง 5,000 จุด ในกรณีที่ตลาดเป็นขาขึ้น ซึ่งหมายถึงการเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากระดับปัจจุบัน โดยการปรับเพิ่มมุมมองนี้ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้ง อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ความแข็งแกร่งของค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ และเงินทุนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารกลางสิงคโปร์ ย้ำว่า "หุ้นสิงคโปร์ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่ให้ผลตอบแทน ความแข็งแกร่งของสกุลเงิน และเงินทุนไหลเข้าที่ดีที่สุดในบรรดาตลาดอาเซียน" พร้อมกับยกระดับภาคอสังหาริมทรัพย์ และคาดการณ์ว่าหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางจะได้รับประโยชน์ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ระวัง ‘กับดักสภาพคล่อง’ ในหุ้นขนาดเล็ก
แม้ตลาดหุ้นสิงคโปร์จะพุ่งขึ้นอย่างน่าจับตา แต่ก็มีคำเตือนจาก ซิตี้แบงก์เกี่ยวกับ "กับดักสภาพคล่อง" ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่เงินทุนจำนวนมากไหลเข้าสู่ หุ้นขนาดเล็กเพื่อรอการนำโครงการพัฒนาตลาดทุน (EMDP) ของธนาคารกลางสิงคโปร์มาใช้
แม้โครงการ EMDP ของธนาคารกลางสิงคโปร์อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดไปจนถึงปี 2568 แต่ซิตี้แบงก์เตือนนักลงทุนไม่ให้ไล่ตามหุ้นขนาดเล็ก และขนาดกลางที่มีคุณภาพต่ำกว่า เพราะมีความเสี่ยงที่ต้องแบกรับภาระหนักเกินไป หากหรือเมื่อสภาพคล่องในตลาดเริ่มชะลอตัวลง
อ้างอิง CNBC
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์