‘สมิธ ภาสวิชญ์’ เปิดเส้นทางฝันวงการบันเทิง ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ท้อแคสงานเยอะแต่ไม่เคยได้!

จัดเป็นอีกหนึ่งคนที่มากฝีมือ สำหรับ “สมิธ ภาสวิชญ์” พระเอกหนุ่มมาแรง ที่ล่าสุดมาเปิดใจพร้อมเผยเรื่องราวแบบหมดเปลือกจากเด็กหนุ่มขี้อายตระเวนแคสต์งาน 4 ปี แต่ไม่เคยได้สักงาน ต้องอยู่กับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้สึกไร้หนทางในชีวิต สู่พระเอกดาวรุ่งมากความสามารถ พร้อมเปิดเรื่องหัวใจ ตอนนี้โสดหรือไม่โสด เพราะรู้มาว่ามีคนในวงการ DM มาหา ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow

สมิธ เผยว่า “เมื่อก่อนขี้อายมากครับ ไม่รู้อายอะไรเหมือนกัน เรารู้อย่างเดียวว่าเราชอบร้องเพลง ชอบแสดงออก แต่อย่างอื่นเราไม่เอาเลย ถามว่าความขี้อายเลเวลไหน คือถ้าเดินปกติ ผมจะก้มหน้าเดินตลอด คือไม่กล้าสบตาคน แต่พอโตมามันก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ชอบร้องเพลงนะ ถามว่าทำไมไม่เอาดีทางด้านการร้องเพลงไปเลยตั้งแต่เด็ก คือผมรอโอกาสเหมือนกัน รอจังหวะที่ดีเหมือนกัน เราคิดมาตลอดว่าเราอยากทำงานในวงการนี่แหละ แต่การเริ่มต้นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมว่ามันเป็นจังหวะผมด้วย ถ้าเข้ามาแล้วเป็นนักร้องเลยอาจจะไม่ใช่จังหวะของเรา

มีเรื่องนึงที่อายมากแล้วเก็บเป็นความลับ คือไปเรียนเปียนโน แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ลับมาก แต่ไม่ได้บอกเพื่อน เราชอบเรียน แต่เปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ เขาเรียนกีต้าร์ แล้วเราก็เป็นเด็กที่ชอบฟุตบอล ดนตรี แล้วจุดเริ่มต้นของวงการละคร เริ่มจากเข้ามาอยู่ช่อง3 ตอนอายุประมาณ 16-17 ตอนนั้นเรามีโอกาสออดิชั่นแล้วก็เข้ามาได้เพราะเราร้องเพลงออดิชั่นเข้ามา ตอนนั้นผมพูดตรงๆ เราไม่มั่นใจ มองจากคนรอบข้างเขาสวย หล่อกันมาก แอบกังวลนิดนึงตอนนั้นเราเรียน รด.หัวเกรียนด้วย แต่มีโอกาสแคสเข้าไปแล้วก็ได้ แต่พอเข้าไปปุ๊บเหมือนทางผู้ใหญ่ยังไม่เห็นว่าจะไปทำอะไรต่อดี เพราะผมก็ยังไม่พร้อม ยังเรียนอยู่

แล้วช่วงนั้นแคสเยอะมาก ไม่ได้เลยสักงาน ผมว่าคาแร็คเตอร์อาจจะยังไม่ตรงด้วย บวกกับความมั่นใจด้วยก็รู้ตัวว่าตอนไปไม่ได้แน่เลยแล้วก็ไม่ได้จริงๆ ซึ่งช่วงนั้นแคสไปประมาณ 20 ขึ้น ถ้ารวมโฆษณาและหนัง พอแคสเยอะแบบนี้แล้วไม่ได้งานด้วย ก็มีช่วงท้อครับ จริงๆ ท้อทุกครั้งที่เขาบอกว่าไม่ได้ ก็รู้สึกว่าเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ ไม่ใช่วันนึงเดี๋ยวเราก็ได้ ผมก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่ก็รู้สึกว่าทุกครั้งที่ไปมันจะได้อะไรกลับมา ได้เรียนรู้อะไรเล็กๆ น้อยๆ จากสิ่งเหล่านี้มาเรื่อยๆ

ส่วนทางครอบครัวคือซัพพอร์ตตลอดครับ เขามั่นใจในตัวผมมากกว่าตัวเองด้วยซ้ำในตอนนั้น พอเราแคสเยอะๆ แล้วไม่ได้งาน คุณพ่อ คุณแม่เขาก็ให้กำลังใจ เขาบอกท้อทำไม กูเป็นคนขับ(ยิ้ม) สุดท้ายได้เซ็นสัญญากับช่องใช่ไหมครับ “พี่ปิ๊ก ฌาณฉลาด” เป็นคนพาให้มารู้จักกับช่อง3 ถามว่าเซ็นไปทั้งหมดกี่ปี ตอนแรก เซ็น 3 ปีครับ ซึ่ง 3 ปีไม่มีงานครับ มันมีโปรเจ็กต์ที่เป็นวงดนตรี 1 โปรเจ็กต์ ตอนนั้นเราผมยาวด้วย บวกความติสท์เด็กๆ อยากไว้ผมยาว ละครก็เลยไม่มีเลย เพราะไม่มีเรื่องไหนที่ผมยาว แล้วตอนนั้นได้เปิดวง มีงานเดียว แล้วปิด คือเปิดแล้วก็ปิดเลย ตอนนั้นชื่อวง the fins ด้วยแต่ละคนมีเส้นทางของตัวเองก็เลยแยกย้ายกันไป ทำได้เพลงเดียวแล้วแยกย้ายเลย”

สมิธ เผยต่อว่า “พอหมดสัญญาปุ๊บ ผมขอช่องเลย ขอเซ็นต่อได้ไหม ขอสู้ต่อ เรารู้สึกว่ายังไม่ได้เริ่มอะไรเลย ผมยังไม่ได้แสดงความสามารถเลย ถามว่าอะไรที่ทำให้เราต่อสัญญา ผมว่าความฝัน ถึงผมจะอายุมากกว่านี้ยังไงผมก็ทำอยู่ดี มันไม่มีอะไรที่ต้องคิดเยอะว่าจะไม่ทำ สุดท้ายได้เล่นละคร เรื่องนี้ทำน้ำตาซึมเลย โดนตัดผมครับ ไว้มาตั้ง 2 ปีเสียดาย แต่ก็ดีใจด้วย พอพี่คิงผู้กำกับบอกว่าให้มาเล่น เราก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน ถ้าพูดตั้งแต่เริ่มจริงๆ จนวันที่ได้ก็เกือบ 5 ปีที่เราจะได้เล่นละครเรื่องแรก โดยละครเรื่องนี้นางเอกคือตัวพรีเมี่ยมของช่องเลยครับ เรื่อง ทุ่งเสน่ห์หา เล่นกับพี่เต้ย จรินทร์พร โชคดีพี่เต้ยเขาน่ารักมาก เวลาทำงานด้วยแล้วรู้สึกไม่เกร็งเลย ซึ่งละครเรื่องนี้เล่นแป๊บเดียว โดนระเบิดเสียชีวิตไปเลย เราเป็นทหาร ไปรบแล้วเหยียบกับระเบิด เสียชีวิตในเรื่อง

พอได้เล่นละครเรื่องแรก หลังจากนั้นก็มีโอกาสเข้าไปแข่งขันรายการ ไอดอล ที่จีนครับ ชื่อรายการ we are young ครับ เขาจะมาแคสก่อนที่ไทย หลักๆ ก็เล่นเปียนโนกับร้องเพลง พอรู้ว่าเราเป็นคนเดียวที่ได้ไปก็รีบเตรียมตัวเลย ประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งไปประกวด ถามว่าผลเป็นยังไง ก็ตกรอบแรกเลยครับ ชีวิตผมสู้อะไรค่อนข้างเยอะ คือตอนช่วงโชว์รวม เราได้ร้องเพลงปกตินี่แหละ ตอนแยกโชว์เดี่ยวความสามารถ ผมไปเลือกเต้น ตอนนั้นคิดอะไรก็ไม่รู้ จริงๆ เราถนัดร้องมากกว่า อยากพิสูจน์ด้วยว่าเราเต้นได้นะ ในนั้นส่วนใหญ่เขาจะเป็นนักเต้นกัน แต่พอเต้นได้แป๊บเดียวเขาบอกให้หยุดเลย พอเลย ตอนนั้นตื่นเต้นด้วย เต้นหลุดไปหมดเลย แต่ไม่ท้อตกรายการนี้ปุ๊บไปต่ออีกรายการนึง เพราะว่าอีกรายการเข้าทางเราเป็นดนตรีเลยครับ แต่สรุปไม่ได้ เพราะเขาปิดรับสมัครไปแล้ว

นอกจากไม่ทันในการแข่งขันก็ไม่ทันกลับไทยด้วย คือช่วงนั้นโควิด ต้องรอกงสุลบอกว่ามีเครื่องมาแล้วนะถึงจะกลับได้ ถ้ารวมรายการด้วยอยู่ที่นั่นประมาณ 6 เดือนครับ ซึ่ง 6 เดือนที่อยู่จีน เห็นว่าเป็นช่วงที่ดาวน์หนักมาก อยู่รายการ 3 เดือนแรก พอออกมาปุ๊บ โควิดด้วยแล้วกลับไทยไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อ มันด้วยบรรยากาศด้วย และตอนที่อยู่จีนคิดว่าจะไปสมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารด้วย คือได้แต่คิด ก่อนหน้านั้นมีไปขายเสื้อผ้ากับผู้จัดการ แล้วเรารู้สึกว่าอยากฝึกภาษา ตอนนั้นผมอยู่ กว่างโจว เลยไปหาร้านที่นั้น มีร้านไทยไหมที่สามารถให้เราไปทำงาน จริงๆ เราไม่ได้คิดอะไร เราอยากไปฝึกภาษา เขาบอกไม่ได้เพราะเราเป็นวีซ่าแบบท่องเที่ยว

ดาราหนุ่ม เล่าต่อว่า “ถามว่า 6 เดือน มีสาวไหม พส.จีน มีเป็นเพื่อนครับ คือเพื่อนในรายการนี่แหละ แล้วเขาก็รู้จักกับเพื่อนข้างนอกด้วย เรามีโอกาสได้ไปเจอเขาบ้าง หลังจากไปสู้ชีวิตที่จีน กลับมาโชคเข้าข้างมีละครติดต่อมา 2-3 เรื่องครับ ออกมาจากกักตัวผมไปแคสละครเรื่องนึง ก็เป็นละครฟอร์มยักษ์ของช่อง แล้วก็ได้ด้วยก็ดีใจมาก พอเรากลับมาอยู่ไทยเริ่มเห็นแนวทางแล้ว

ล่าสุดได้เป็นพระเอกเต็มตัวเรื่องแรกวันนั้นหลายอย่างมากครับ มันตรงกับงานช่องพอดี ที่ช่องจะมีแข่งฟุตบอล พอกลับบ้านมาก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาบอกว่าได้เป็นพระเอกนะ ตอนนี้งานรุม แล้วสาวรุมไหม คือผมไม่รู้ไงว่าเขาจีบหรือเปล่า เขา DM มานี่แหละ ผมไม่รู้ว่าเขาแซวหรือเปล่า หรือมาคุยเล่น เวลาผมลงอะไรไปเขาก็มาคอมเมนต์ ผมว่าน่าจะปกติ น่าจะคิดเยอะไปเอง แล้วคนที่ DM มาเป็นสาวในวงการ ก็เพื่อนๆ กันนี่แหละครับ ซึ่งเขา DM มาก็ทั่วไปครับ ผมชิวอยู่แล้ว ไม่ได้คิดเรื่องนี้เท่าไหร่ คุยได้แต่อยากโฟกัสงานมากกว่า สรุปตอนนี้ยังโสดอยู่ครับ”