“ทักษิณ”ไปให้สุด ชี้ชะตาภาษีทรัมป์ !?
เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ถือว่ากำลังดิ้นรนสุดชีวิต เพื่อเป้าหมายเฉพาะหน้าก็คือ ต้องการรักษาอำนาจทางการเมืองเอาไว้ในมือให้นานที่สุด ในท่ามกลางพายุปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาทุกทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลาง “วิกฤตด้านความสามารถ” ของลูกสาวตัวเอง คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ที่ถูกเชิดขึ้น ได้สร้าง “ความล้มเหลว” ไม่เป็นท่า และสังคมก็รับรู้กันไปทั่วแล้วว่า “ลูกสาว” ไร้ความสามารถ ไม่พร้อม หรือไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำอีกต่อไป
อย่างไรก็ดี เพื่อรักษาอำนาจเอาไว้ไม่ให้เปลี่ยนมือไปสู่คนในครอบครัวอื่น เขาก็ต้องหาทางประคับประคองเอาไว้ให้นานที่สุด อย่างน้อยก็ต้องดันกันไปจนสุดทาง ก่อนที่จะ“เปลี่ยน”คนใหม่ ตัวเลือกใหม่ ดังนั้นในสถานการณ์แบบนี้เราจึงได้เห็นการออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง หลังจาก“กบดาน”เงียบ กรณีมี “คลับลับ” สนทนา ระหว่าง นายฮุน เซน กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร โผล่ออกมา ซึ่งกรณีนี้ทำให้เครดิตทั้งครอบครัวชินวัตร ย่อยยับป่นปี้ ในชั่วข้ามคืน
อีกทั้งเมื่อเชื่อมโยงกับความล้มเหลวทางด้าน “ผลงาน” ของรัฐบาลภายใต้การนำของลูกสาวตัวเอง คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ที่ไม่มีอะไรจับต้องได้สักอย่าง โดยเฉพาะปัญหา“ปากท้อง” ที่ชาวบ้านบ่นกันดังระงม ทำให้คำที่เคยคุยโวเรื่อง “มืออาชีพ” ด้านแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่มีน้ำหนักอีกต่อไป ขณะเดียวกันสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้กำลังกลายเป็น “คนตกยุค ตกรุ่น”ไปแล้ว เพราะคำพูดเหมือนกับ “แผ่นเสียงตกร่อง” มีแต่ยกเอาเรื่องความสำเร็จในอดีต หรือไม่ก็ถูกกลั่นแกล้ง หรือถูกขัดแข้งขัดขาจากฝ่ายตรงข้าม อยู่ตลอดเวลา ในช่วงแรกๆ อาจฟังขึ้นบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปยิ่งนานเท่าไหร่ ชาวบ้านก็ยิ่งค้นพบความจริงด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ดี เวลานี้สิ่งที่ถือว่า “วิกฤต” หนักหน่วงก็คือ กรณีที่กำลังเผชิญหน้ากับ “ภาษีทรัมป์” หรือภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดจัดเก็บจากประเทศไทร้อยละ 36 และกำหนดเส้นตายใหม่ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ เป็นต้นไป ซึ่งถือว่ามีอัตราสูงมากและจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการส่งออกที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของประเทศ และตลาดสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่สุด
ที่ผ่านมาในยุครัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร เราประสบภาวะยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่มีความหวังกับเรื่องการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน แต่เวลานี้กำลังทรุดหนัก นักท่องเที่ยวลดลงกว่าครึ่งแล้ว เรียกว่าหาก“สองเครื่องยนต์หลัก” ดังกล่าว ทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออกมีปัญหา ไทยก็จะหนักหนาสาหัสแน่นอน โดยมีการประเมินตรงกันจากหลายหน่วยงาน ทั้งในประเทศและต่างประเทศว่า ภายในสิ้นปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวแค่ร้อยละ 1.4 หรือ ตำกว่านั้น
ขณะเดียวกันเวลานี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีชั่วคราว จากคำร้องในกรณีความผิดด้านจริยธรรม จากคลิปเสียงดังกล่าว เหลือแค่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ยิ่งทำให้ชาวบ้านมองไม่เห็นแนวโน้มในทางบวกเลย เพราะขนาดนั่งเก้าอี้นายกฯกลับถูกมองว่าไร้ความสามารถ ไม่สร้างความเชื่อมั่นได้เลย ดังนั้น เมื่อถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ เหลือแค่เก้าอี้รัฐมนตรีวัฒนธรรม ทุกอย่างยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เมื่อวกกลับมาที่ความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร ที่แม้จะ “กบดาน” เงียบไปพักหนึ่ง แต่เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ข้างหน้าแล้ว หากยังไม่ปรากฏตัวก็ยิ่งวิกฤตหนักกว่าเดิม ทำให้ได้เห็นการออกมาให้สัมภาษณ์แสดงวิสัยทัศน์ ให้ความเห็นในทุกเรื่องในลักษณะ “ผู้นำตัวจริง”
ล่าสุดยังจงใจปรากฏตัวให้เห็นเข้าร่วมประชุม“ทีมไทยแลนด์” ที่บ้านพิษณุโลก เมื่อวันก่อน ซึ่งทีมดังกล่าวนำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการเจรจากับทางฝ่ายสหรัฐในเรื่องภาษีนำเข้าสหรัฐ ก่อนเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม ท่ามกลางคำถามและเสียงวิจารณ์ตามมาว่านายทักษิณ มีฐานะทางกฎหมายอะไรถึงได้มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุม หรือไม่ก็มีเสียงกล่าวว่า รัฐบาลไม่มีคนมีความรู้ความสามารถแล้วหรือ ถึงต้องพึ่งพานายทักษิณ ซึ่งเป็นอดีตนักโทษคดีทุจริตที่กฎหมายห้ามมีตำแหน่งทางการเมืองทุกอย่าง
อย่างไรก็ดี สำหรับนายทักษิณ แล้วนาทีนี้เขา “ไม่แคร์” สังเกตจากเจตนาไม่ต้องปิดบังอะไร เดินเข้าออกที่ประชุมอย่างเปิดเผย จงใจให้ถ่ายภาพเพราะนาทีนี้ต้อง “สร้างภาพ” ให้สังคมปรากฏ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งการสร้างภาพให้เห็นว่าเขามีส่วนร่วมในการเจรจากับ “ทีมทรัมป์” เรื่องภาพษีนำเข้าคราวนี้ หากสำเร็จ มีการเรียกเก็บลดลงจากอัตราร้อยละ 36 ส่วนจะเป็นเท่าไหร่นั้นค่อยมาว่ากัน ซึ่งบรรดา “ลูกน้อง” ก็พร้อมที่ “เคลม” ให้อยู่แล้วว่า ที่ลดลงมาเป็นเพราะนายทักษิณ เป็นคนแนะแนวในการเจรจา เหมือนกับที่นายพิชัย ได้พูดนำร่องไปแล้ว ถึงสาเหตุที่ นายทักษิณ เข้าร่วมประชุม
“ผมได้เชิญทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลกมาร่วมประชุม และเห็นว่า นายทักษิณ รู้เรื่องเหล่านี้ดีน่าจะให้ข้อคิดเห็นได้ดีจึงเชิญมาร่วมประชุมด้วย” นั่นคือคำพูดของ นายพิชัย ชุณหวชิร ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ที่ต้องไปเจรจากับทางสหรัฐ ยืนยัน ที่ผ่านมา
หากย้อนคำพูดของนายทักษณ ชินวัตร เขาเคยคุยว่า มีความสนิทสนมกับคนรอบข้างของนายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือแม้แต่รู้จักประธานาธิบดีคนนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลสำหรับเรื่องภาษี แต่เมื่อผลออกมาปรากฏว่า สหรัฐจัดเก็บไทยในอัตราที่สูงลิ่ว สูงในอันดับสองในเอเซีย รวมทั้งสูงกว่าประเทศในอาเซียนที่เป็นคู่แข่งทางการค้าทั้งหมด เช่น เวียดนาม เป็นต้น ที่ถูกเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 20 ทำให้เป็นที่จับตากันว่าภายในกำหนดวันที่ 1 สิงหาคมนี้ หากไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงกว่าเวียดนามแล้วละก็ ถือว่านี่คือ“นรก” ชัดเจนสำหรับเศรษฐกิจ การลงทุนที่จะถูกย้ายฐาน และการแข่งขันที่ยากลำบากอยู่แล้ว ยิ่งยากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
ดังนั้น งานนี้หากมองอีกมุมหนึ่งสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็น“เดิมพัน”ครั้งใหญ่ เพราะหากสามารถเจรจาจนสหรัฐลดภาษีลงมาจากร้อยละ 36 ก็จะมีการเคลมว่า เขามีส่วนช่วยเหลือ อ้าง “คอนเนกชัน” ส่วนตัว ที่มีมากมาย สร้างบุญคุณชนิดที่ต้องพึ่งพาเขา ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมันก็มีความเสี่ยง แม้ว่าจะลดลงมา แต่หากลดลงมาแล้วยังถูกจัดเก็บมากกว่าเวียดนาม สูงกว่าร้อยละ 20 ไทยก็อ่วมอยู่ดี เพราะทั้งความเสี่ยงเรื่องการย้ายฐานลงทุน การแข่งขัน และที่สำคัญกระทบการส่งออกในช่วงปลายปีเป็นต้นไป จะต้องสาหัสแน่นอน
แต่สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร แล้วนาทีนี้ถือว่าโอกาสทองที่ต้องเสี่ยง แม้ว่า หนทางข้างหน้าจะริบหรี่ก็ตาม เพราะทั้งเรื่องภาษี เรื่องคดีอาญา ล้วนรุมเร้าเข้ามาภายในเดือนนี้ไปจนถึงเดือนหน้าทั้งสิ้น เหมือนกับว่า “ไหนๆ ก็ไหนๆ ต้องไปให้สุด” ซึ่งบรรดากูรูประเมินตรงกันแล้วว่า “รอดยาก” ทั้งพ่อทั้งลูก!!
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO