ส่องเทรนด์อสังหาฯ ใส่ใจสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม พร้อมเปลี่ยนเกมตลาด
ท่ามกลางภาวะชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในไทย กำลังมีคลื่นลูกใหม่ที่ทรงพลังอย่างเงียบๆ นั่นคือเทรนด์ของอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นเรื่อง สุขภาพ (Wellness) และ ความยั่งยืน (Sustainability) ที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าวงการ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงและพร้อมจะจ่ายเพิ่มเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและเพื่อโลกที่ดีกว่า
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นสุขภาวะ หรือ Wellness Real Estate กำลังกลายเป็นคำตอบสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองว่า "บ้าน" ไม่ใช่เพียงแค่ที่พักอาศัย แต่คือสถานที่ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ผู้พัฒนาชั้นนำหลายรายต่างเดินหน้ารุกตลาดนี้อย่างจริงจัง
ตัวอย่างเช่น พฤกษา, พราว เรียล เอสเตท หรือ บันยันทรี ซึ่งได้นำเสนอบริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบองค์รวมอย่างครบครัน ตั้งแต่การใช้ระบบกรองอากาศคุณภาพสูงที่ช่วยปกป้องจากมลพิษ ระบบสมาร์ทโฮม ไปจนถึงการจัดสรรพื้นที่สีเขียวภายในโครงการอย่างกลมกลืน
นอกจากนี้ยังมีการผนวกบริการด้านสุขภาพเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันตั้งแต่ห้องออกกำลังกาย ไปจนถึงห้องโยคะและสปาส่วนตัว รวมถึงบริการเสริมด้านสุขภาพ เช่น การให้คำปรึกษาด้านโภชนาการและบริการตรวจสุขภาพถึงที่พัก ซึ่งไม่เพียงแต่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียม แต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรที่ใส่ใจความเป็นอยู่ของผู้คนและสิ่งแวดล้อม
ในขณะเดียวกันตลาด อาคารสีเขียว (Green Buildings) ก็กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งจากแรงขับเคลื่อนของภาครัฐและเอกชน โครงการของกรุงเทพมหานครอย่าง "Green Bangkok 2030" ที่มีเป้าหมายขยายพื้นที่สีเขียวในเมืองกำลังเป็นแรงผลักดันสำคัญ
ควบคู่ไปกับการที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต่างหันมาให้ความสำคัญกับการขอการรับรองมาตรฐานสากล เช่น LEED, TREES และ Fitwel เพื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้ โดยตัวอย่างเช่น เซ็นทรัลพัฒนา ซึ่งลงทุนกว่า 1.2 แสนล้านบาทในโครงการ “Central Pattana Green Growth” โดยมีเป้าหมายผลิตพลังงานสะอาดจากโซลาร์รูฟท็อปและมุ่งสู่ Net Zero 2050
ขณะที่ วัน แบงค็อก ก็มุ่งมั่นตั้งเป้าให้ได้รับการรับรอง LEED ND Platinum โดยจัดสรรพื้นที่กว่า 50% ให้เป็นพื้นที่สีเขียว ส่วน แสนสิริ ก็ได้ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อใช้ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำรายแรกของไทยในโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 20 แห่ง
โดยในประเทศไทยเองก็มีแนวโน้มการเติบโตของเทรนด์เหล่านี้ ซึ่งผลสำรวจของ SCB EIC ชี้ว่าผู้บริโภคเกือบ 90% ให้ความสำคัญกับวัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงานและลดมลภาวะอย่างมาก ขณะที่กว่า 60% โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ยินดีที่จะจ่ายเพิ่มสำหรับบ้านที่สอดคล้องกับแนวคิด ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล)
ในโลกที่ความหมายของ "บ้าน" กำลังเปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่กำลังเป็นศูนย์รวมชีวิตที่เชื่อมโยงทั้งด้านสุขภาพและความยั่งยืน ผู้พัฒนาที่สามารถตอบโจทย์คุณค่าชีวิตในมิติใหม่เหล่านี้ได้ จะสามารถเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดอย่างแท้จริง