บิทคอยน์ติดกับดัก 100K-110K เกมยื้อราคา "ปลาใหญ่ vs นักลงทุนรายย่อย" – สัญญาณฟองสบู่หรือจังหวะสะสม
Bitcoin ถูกตรึงราคาไว้ที่ 100,000 - 110,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไร้ทิศทาง! เมื่อ "วาฬ" เริ่ม "เทขาย" ขณะที่ "ปลาเล็ก" และ "กองทุน ETF" แห่กัน "ช้อนซื้อ" นี่คือ "การเผชิญหน้า" ครั้งสำคัญที่กำลังตัดสินชะตาบิทคอยน์ Bitcoin ว่าจะ "พุ่งทะลุ" หรือ "ดิ่งเหว" ท่ามกลางความผันผวนที่รอวันปะทุ
ตามรายงานของ Bitfinex Alpha เมื่อวานนี้ (7 กรกฎาคม) Bitcoin (BTC) ยังคงซื้อขายอยู่ในกรอบราคา 100,000 - 110,500 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ เป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนรายย่อย (smaller investors) เริ่มเข้าซื้อแทนที่นักลงทุนรายใหญ่ หรือ "วาฬ" (whales)
รายงานระบุว่า BTC ใช้เวลาส่วนใหญ่ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาอยู่ในช่องราคาประมาณ 10% ซึ่งมีเพดานสูงสุดที่ราคา 109,590 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ ที่ทำไว้ในเดือนมกราคม และมีฐานราคาใกล้เคียงกับ Short-Term Holder Realized Price (STH-RP) ที่ 99,474 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ แม้จะมีการลดลงต่ำกว่า STH-RP ชั่วครู่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยแตะระดับต่ำสุดที่ 98,220 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่บิทคอยน์ก็ดีดกลับไปที่ขอบบนของกรอบราคา หลังจากที่ผู้ซื้อเข้ามาใกล้ระดับหกหลัก (100,000 ดอลลาร์)
รายงานดังกล่าวระบุว่าโซนราคาปัจจุบันนี้เป็น "จุดสมดุลระยะใกล้" (near-term equilibrium) ที่ซึ่งผลกำไรที่ยังไม่รับรู้ (unrealized profits) ยังคงมีจำนวนมาก แต่ก็ต่ำกว่าระดับที่เคยกระตุ้นให้เกิดการกระจาย (distribution) อย่างหนักในการพยายามสร้างสถิติสูงสุดครั้งก่อนๆ การผสมผสานระหว่างการทำกำไรที่เบาบางและโมเมนตัมการทะลุแนวต้านที่เงียบงัน บ่งชี้ว่าตลาดกำลังรอ "ตัวกระตุ้น" (catalyst) เพื่อออกจากกรอบราคาปัจจุบัน
STH-RP ยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้เข้าร่วมใหม่ๆ รวมถึงผู้จัดสรรกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF allocators) ยังคงเพิ่มจำนวน Bitcoin เข้ามา รายงานเปรียบเทียบรูปแบบนี้กับปี 2567 เมื่อกระแสเงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF ป้องกัน STH-RP ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในระหว่างการขึ้นสู่จุดสูงสุดก่อนหน้านี้ รายงานระบุว่าการที่ตัวชี้วัดนี้ทับซ้อนกับจุดต่ำสุดของราคาปัจจุบัน ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้เป็น "แนวรับโครงสร้าง" ของกรอบราคา การเคลื่อนไหวของราคาที่อยู่เหนือระดับนี้บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้น จนกว่าข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพคล่องจะทำลายภาวะการทรงตัวนี้
การเปลี่ยนตำแหน่งการถือครองสู่กลุ่มผู้ถือรายย่อย
เทรดเดอร์อนุพันธ์แสดงความเชื่อมั่นที่ลดลงที่ขอบบนของราคา รายงานชี้ว่ามูลค่าสัญญาซื้อขายล่วงหน้าคงค้างรวมลดลง 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (5%) เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งล้างผลกำไรสองวันและส่งสัญญาณว่าบัญชีฟิวเจอร์สปิดสถานะ Long แทนที่จะไล่ตามราคาที่สูงขึ้น ข้อมูลกลุ่มผู้ถือบนเชน (on-chain cohort data) ยืนยันถึงการกระจายนี้
ขณะที่กระเป๋าเงินที่ถือครองบิทคอยน์ระหว่าง 1,000 ถึง 10,000 BTC ได้ขายออกไปประมาณ 14,000 BTC ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน ขณะที่ผู้ถือระยะสั้น (short-term holders) ได้เพิ่มบิทคอยน์เข้ามาประมาณ 382,000 BTC ในช่วงเวลาเดียวกัน รายงานระบุว่าการถ่ายโอนอุปทานนี้สะท้อนให้เห็นว่า "วาฬขนาดกลาง" กำลังลดการถือครองลง ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันหน้าใหม่เข้ามาซื้อในช่วงที่ราคาย่อตัวลง
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่านี่คือ "การถ่ายโอนอำนาจการถือครอง" ในช่วงปลายวัฏจักรที่เคยเห็นในการปรับขึ้นของราคาในอดีต โดยกระเป๋าเงินที่มีประสบการณ์จะลดน้ำหนักการถือครองท่ามกลางความไม่แน่นอน แต่กระแสเงินทุนไหลเข้าจาก ETF, การจัดสรรงบดุล และผู้ซื้อรายย่อย ก็ชดเชยการไหลออก ทำให้การบีบอัดราคาเป็นไปอย่างมีระเบียบ ในสถานการณ์นี้ รายงานเตือนว่าการพึ่งพาผู้เข้าร่วมใหม่จะขยายความอ่อนไหวต่อความผันผวนในอนาคต เนื่องจากผู้ถือเหล่านี้ไม่มี "จุดยึดทางประวัติศาสตร์" เหนือ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
รายงานยังสังเกตเห็นโมเมนตัมระยะสั้นที่อ่อนแอลง หลังจากที่ไม่สามารถทะลุ 110,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้หลายครั้ง การถูกปฏิเสธแต่ละครั้งเกิดขึ้นพร้อมกับคลื่นการชำระบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและการลดลงของปริมาณสัญญาคงค้าง ซึ่งบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งที่จำกัด อย่างไรก็ตาม กลุ่มกระทิงยังคงควบคุมโครงสร้างราคาได้โดยการป้องกัน STH-RP และป้องกันการปิดต่ำกว่าระดับนั้นเป็นเวลานาน
รายงานนี้อธิบายภาวะการทรงตัวว่าเป็น "ตลาดที่สมดุล" โดยทั้งสองฝ่ายไม่มีอำนาจมากพอที่จะบังคับให้เกิดการทะลุอย่างเด็ดขาด ตัวขับเคลื่อนมหภาค เช่น การเปลี่ยนแปลงความคาดหวังเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงสภาพคล่อง หรือการไหลเข้าของ ETF ที่พุ่งสูงขึ้น น่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางเมื่อมันเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดีสถานการณ์ราคาบิทคอยน์ ที่ถูกตรึงอยู่ระหว่าง 100,000 - 110,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ใช่แค่การพักฐานธรรมดา แต่มันคือ "สงครามชักเย่อ" อันดุเดือดระหว่าง "วาฬ" ผู้มากประสบการณ์ที่เริ่ม "ทำกำไร" และ "ลดความเสี่ยง" กับ "ปลาเล็ก" และ "กองทุน ETF" หน้าใหม่ที่กำลัง "กระหาย" เข้ามาในตลาด การที่วาฬเริ่ม "เทขาย" สะท้อนถึง "ความไม่มั่นใจ" ในการพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรืออาจเป็นการ "ล็อกกำไร" ก่อนเกิดความผันผวนใหญ่
ขณะเดียวกัน "กระแสเงินสดจากกองทุน ETF" และ "นักลงทุนรายย่อย" ที่แห่กัน "ช้อนซื้อ" ในช่วงราคาย่อตัว ก็แสดงให้เห็นถึง "ความกระหาย" ในตลาดที่ยังคงสูงลิ่ว แต่คำถามคือ "พลังซื้อ" จากนักลงทุนหน้าใหม่เหล่านี้ จะแข็งแกร่งพอที่จะ "ทะลุเพดาน" 110,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปได้หรือไม่? เพราะหากไม่มี "ปัจจัยมหภาค" ที่ทรงพลังเข้ามาหนุน หรือ "เงินก้อนใหญ่" จากสถาบันที่แท้จริง สถานะของบิทคอยน์อาจติดหล่มอยู่ในช่วงราคาเดิมไปอีกนาน
นอกจากนี้รายงานยังชี้ให้เห็นถึง "ความเสี่ยง" ของการพึ่งพานักลงทุนหน้าใหม่ ซึ่งขาด "ประสบการณ์" ในการรับมือกับความผันผวน และอาจเป็น "ตัวจุดชนวน" ให้เกิดการเทขายครั้งใหญ่หากตลาดสะดุด! นี่คือช่วงเวลาที่ "ความสมดุล" กำลังถูกท้าทาย และ "ตัวกระตุ้น" เพียงเล็กน้อย ก็อาจเปลี่ยนเกมจาก "สงครามชนชั้น" สู่ "การระเบิดครั้งใหญ่" ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO