ปฏิกิริยาหุ้นไทย และมุมมองตลาดหลังรู้ผลภาษี 19% เศรษฐกิจรอดภาวะถดถอย?
หลังจากรู้ผลภาษี reciprocal tariff ของประเทศไทยในระดับ 19% ปฏิกิริยาของตลาดหุ้นไทยเปิดบวกในช่วงเช้า อยู่ที่ 1,252.50 จุด เพิ่มขึ้น 10.15 จุด (+0.82) จากนั้นไม่นานตลาดหุ้นไทยก็พลิกกลับมาอยู่ในแดนลบ ล่าสุดเวลา 11.10 SET Index อยู่ที่ 1,239.85 จุด ลดลง 2.50 จุด มูลค่าการซื้อขายราว 18,200 กว่าล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ประเมิน ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในวันนี้ คาดว่าตลาดแกว่งตัวผันผวน/พักตัว หลังไทยได้อัตราภาษีอัตรา 19% เป็นระดับที่เท่ากับประเทศอื่นในภูมิภาค อย่าง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย และต่ำกว่าเวียดนามที่ 20% ทำให้ในระยะกลางไทยยังคงศักยภาพในการแข่งขัน แต่ระยะสั้นตลาดปรับตัวขึ้นสะท้อนความคาดหวังไปในระดับหนึ่งแล้ว หากพักแค่ช่วงสั้น ดัชนีต้องไม่หลุดต่ำกว่า 1228 แนวรับ 1235/1228 ส่วนแนวต้านประเมินไว้ที่ 1255/1265 คาดว่ายังไม่ผ่าน
หอการค้าไทยชื่นชม “ทีมไทยแลนด์” เจรจาเข้มข้น
ด้าน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า หอการค้าไทยชื่นชมทีมเจรจาประเทศไทยที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ให้กำหนดอัตราภาษี “reciprocal tariff” สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 19% ซึ่งแทบไม่ต่างกับอัตราภาษีที่สหรัฐฯ ใช้กับประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย (19%) และเวียดนาม (20%)
แม้ว่าอัตรานี้จะสูงกว่าพื้นฐาน 10% แต่ถือว่าเป็นผลงานที่ดีเยี่ยมในภาวะที่ประเทศไทยเคยเผชิญกับข่าวว่าจะถูกกำหนดอัตราภาษีสูงถึง 36% การที่ทีมเจรจาไทยสามารถเจรจาลดตัวเลขนั้นลงเหลือ 19% ได้ภายในเวลาที่จำกัด แสดงถึงความมุ่งมั่น ความเข้าใจในเชิงยุทธศาสตร์ และความสามารถในการดำเนินงานเชิงรุกของทีมเจรจาอย่างแท้จริง
หอการค้าไทยเชื่อว่าแม้ระดับภาษีจะสูงขึ้นจากเดิมแต่ประเทศไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาค เมื่ออัตราภาษีใกล้เคียงกับประเทศอื่นในอาเซียน อย่างไรก็ดีหอการค้าไทยยังสนับสนุนให้รัฐบาลพิจารณามาตรการรองรับ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยขยายตลาดใหม่ และเตรียมรับมือกับอัตราภาษีสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ผ่านมาตรการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี การเงิน การตลาดและนวัตกรรมทางการค้า นอกจากนี้ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อ มาตรการ “transshipment rate” ที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ที่ 40% สำหรับทุกประเทศ รวมถึง การเตรียมแผนรับมือด้านการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ด้วย
เรายังมั่นใจว่าการเจรจาต่อในด้านรายละเอียด จะช่วยให้สามารถปรับปรุงเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ในอนาคต และหวังว่าทีมไทยแลนด์จะเดินหน้าดำเนินหน้าที่ในบทบาทนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของภาคธุรกิจของไทย
ส่งออกไทยอาจหดตัวน้อยลง เศรษฐกิจรอดจากภาวะถดถอย
ด้านมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย มองภาพรวมว่า ภาษีที่ไทยได้ 19% นั้นจะทำให้การส่งออกของประเทศไทยหดตัวน้อยลงกว่าที่คาด และช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 อาจรอดพ้นจากเศรษฐกิจถดถอย
ดร.อมรเทพ ได้โพสข้อความใน FB ส่วนตัวว่าไทยบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้ทันวันที่ 1 ส.ค. โดยไทยลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐลงเหลือ 0% ในสินค้าส่วนใหญ่ แม้ไม่ใช่ทุกรายการเหมือนที่เวียดนามและอินโดนีเซียให้สหรัฐ และไทยน่าเจรจานำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น และวางแผนระยะยาวในการลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ พร้อมเปิดตลาดภาคบริการและการลงทุนให้บริษัทสัญชาติอเมริกันมากขึ้น จนภาษีนำเข้าที่สหรัฐจัดเก็บกับไทยเหลือเพียง 19% ลดลงจาก 36% แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
โอกาสของไทยภายใต้ภาษีสหรัฐที่ต่ำลงเทียบเคียงเพื่อนบ้าน
1. ส่งออกไทยหดตัวน้อยกว่าคาด
ไทยน่าได้เปรียบจากอัตราภาษีที่ต่ำลงจนใกล้เคียงกับเพื่อนบ้าน → ทำให้สินค้าไทย "พอจะแข่งขันได้มากขึ้น"
สินค้าที่พอจะแข่งขันได้: อิเล็กทรอนิกส์ ,ชิ้นส่วนยานยนต์ ,ยางรถยนต์ ,อาหารแปรรูป,ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ
แต่ถึงอย่างไร การเติบโตด้านส่งออกของไทยน่าจะหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะสหรัฐจะลดการนำเข้าโดยรวม (จากการเร่งสต๊อกล่วงหน้า + เศรษฐกิจชะลอจากเงินเฟ้อที่จะขยับขึ้น) ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตของไทยชะลอ การจ้างงาน ชั่วโมงการทำงานและการบริโภคเสี่ยงขยายตัวต่ำในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ข่าวดีคือ ยังน่าพอประคองตัวได้ ไม่หดตัวเช่นกรณีถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูง
2. ลดความเสี่ยงจากการ “สวมสิทธิ” ส่งออก
ภาษีสหรัฐที่เข้มงวดทำให้ transshipment (การลักลอบใช้สิทธิไทย) ลดลง เพราะจะโดนภาษีเพิ่มอีก 40%
แต่ไทยต้องระวัง: สินค้าที่มี import content สูง อาจถูกมองว่าไม่ได้ผลิตจริงในไทย
ทางแก้:เร่งสร้างฐานการผลิตในสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง เน้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พวกเซมิคอนดักเตอร์
3. การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) อาจเพิ่ม
นักลงทุนย้ายฐานจากจีน มาสู่ไทย ไม่ต้องแย่งเวียดนาม อินโดนีเซียมากนัก
สินค้าเป้าหมาย: กลุ่มที่ถูกเก็บภาษีพอๆกันและเน้นตลาดส่งออกไปสหรัฐ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, แบตเตอรี่, ชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ
อย่าลืมว่าผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงจากอัตราภาษีที่ไทยเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐที่ลดลง เช่น ยาและเวชภัณท์ ผลิตภัณท์อาหาร และอาหารสัตว์ ข้าวโพด ถั่วเหลือง และอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการลงทุนในกลุ่มนี้
ข้อควรระวัง: ไทยยังเสียเปรียบด้านโครงสร้างต้นทุน เช่น ค่าแรงสูง ค่าไฟแพง กฎระเบียบซ้ำซ้อน พยายามสร้างจุดขายพวก ESG พลังงานทดแทน