อินโดฯ ขึ้นภาษีคริปโต 5 เท่า! จัดระเบียบตลาดหมื่นล้านดอลล์ สกัดเงินไหลออกนอกประเทศ
รัฐบาลอินโดนีเซียเดินเกมใหญ่ ปรับขึ้นภาษีธุรกรรมคริปโตและการขุดสูงสุดถึง 5 เท่า มีผล 1 ส.ค. นี้ เล็งคว้ารายได้จากตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าเกือบ 40 พันล้านดอลลาร์ ท่ามกลางธุรกรรมพุ่งทะลุ 650 ล้านล้านรูเปียห์ในปีเดียว ดันอินโดฯ สู่เวทีระดับโลก พร้อมเร่งกำกับแพลตฟอร์มต่างชาติให้แข่งกันอย่างยุติธรรม
รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศปรับโครงสร้างภาษีคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการควบคุมการไหลเวียนของเงินทุนในตลาดคริปโตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และเพิ่มรายได้เข้าสู่รัฐจากภาคสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังกลายเป็นกลไกเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ
ตามรายงานของสำนักข่าว Reuters กระทรวงการคลังอินโดนีเซียได้ประกาศเพิ่มอัตราภาษีขายคริปโตจากเดิม 0.1% เป็น 0.21% และเพิ่มภาษีการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจาก 0.2% เป็น 1% ขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการขุดเหรียญดิจิทัลก็ถูกปรับขึ้นจาก 1.1% เป็น 2.2%
นอกจากนี้ ยังมีการยกเลิกภาษีเงินได้พิเศษสำหรับผู้ประกอบการเหมืองคริปโต และให้ใช้ภาษีบุคคลธรรมดาหรือภาษีนิติบุคคลตามปกติแทน โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2569
การเปลี่ยนแปลงนี้มีขึ้นท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมคริปโตในอินโดนีเซีย โดยข้อมูลจาก CoFTRA ระบุว่า มูลค่าธุรกรรมรวมในปี 2567 เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า จากปีที่แล้ว ทะลุ 650 ล้านล้านรูเปียห์ หรือราว 39.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีผู้ใช้งานคริปโตเกินกว่า 20 ล้านคน
ขณะที่แพลตฟอร์มเทรดคริปโตในประเทศอย่าง Tokocrypto ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Binance แสดงท่าทีสนับสนุนการจัดหมวดหมู่สกุลเงินดิจิทัลใหม่ให้เป็น “สินทรัพย์ทางการเงิน” แทน “สินค้าโภคภัณฑ์” แต่เรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดช่วงเวลาผ่อนปรนก่อนกฎมีผลเต็มรูปแบบ
ขณะเดียวกัน อินโดนีเซียยังปรับบทบาทหน่วยงานกำกับดูแล โดยย้ายอำนาจควบคุมจากสำนักงานกำกับการซื้อขายล่วงหน้าไปยังสำนักงานบริการทางการเงิน เพื่อสร้างกรอบกฎหมายที่ทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลก
ปัจจุบัน Tokocrypto ถือครองส่วนแบ่งตลาดคริปโตในประเทศถึง 43% โดยได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างถูกต้อง ส่วนอีกหลายแพลตฟอร์มในประเทศ เช่น INDODAX ก็อยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานรัฐเช่นกัน
อย่างไรก็ตามมาตรการภาษีล่าสุดยังรวมถึงการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยเน้นจัดเก็บภาษีจากแพลตฟอร์มต่างชาติที่ให้บริการในประเทศแต่ไม่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้อง ซึ่งสร้างความได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรมเหนือผู้ประกอบการภายในประเทศ
นอกจากนี้เพื่อรับมือกับแนวโน้มผู้ใช้งานที่ย้ายแพลตฟอร์มไปยังต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี อินโดนีเซียจึงได้ลงนามในข้อตกลงแบ่งปันข้อมูลกับออสเตรเลียเมื่อเดือนเมษายน 2567 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ดิจิทัลข้ามพรมแดน
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในประเทศยังคงกังวลว่า ภาษีคริปโตของอินโดนีเซียยังสูงเกินไป เมื่อเทียบกับภาษีกำไรจากการลงทุนในหุ้นทั่วไป โดย Tokocrypto เสนอให้รัฐบาลใช้มาตรการจูงใจทางภาษี และเร่งกำกับดูแลแพลตฟอร์มต่างประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการสูญเสียรายได้และผู้ใช้งาน
ข้อมูลจาก Chainalysis จัดให้อินโดนีเซียอยู่ในอันดับ 3 ของโลกด้านการยอมรับคริปโต โดยกลุ่มผู้ใช้งานส่วนใหญ่กว่า 60% มีอายุระหว่าง 18-30 ปี และนิยมลงทุนในสินทรัพย์หลักอย่าง Bitcoin, Ethereum, USDT และ Solana
ทั้งนี้อินโดนีเซียกำลังเดินหน้าปรับสมดุลระหว่างรายได้ของรัฐกับเสถียรภาพของอุตสาหกรรม โดยหวังว่ามาตรการภาษีใหม่นี้จะไม่เพียงแค่สร้างรายได้เพิ่มขึ้น แต่ยังช่วยปูทางให้ประเทศก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลระดับภูมิภาคอย่างมั่นคงในระยะยาว
ปัจจุบันปริมาณธุรกรรมคริปโตในปี 2567 ได้แซงหน้ายอดรวมของปี 2565 และ 2566 ไปแล้ว สะท้อนถึงศักยภาพมหาศาลในระบบนิเวศคริปโตของอินโดนีเซีย ที่รัฐบาลกำลังเร่งใช้มาตรการเต็มกำลังเพื่อควบคุม ทันเกม และเก็บรายได้ไม่ให้ไหลหลุดออกนอกประเทศอีกต่อไป
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO