“กันยา-ปีมะเส็ง” ขยับสู่โอกาสลงทุนกับ “Story of Growth”… “หุ้นอินเดีย” เติบโตไปพร้อมเศรษฐกิจ “หุ้นญี่ปุ่นไซส์เล็ก” อีกตลาดที่มีการเติบโตสูง !!!
ลายแทงกองทุน: “ภาษี Trump” เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจของ “อินเดีย” และ “ญี่ปุ่น” อย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยสหรัฐเรียกเก็บอินเดียสูงถึง 50% ส่วนญี่ปุ่น 15% ตามลำดับ
แต่ล่าสุดเศรษฐกิจอินเดียไตรมาสที่1/25 ยังโตสูง 7.8% สูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส และทาง “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะโต 6.4% ในปีนี้และปีหน้า จนอาจก้าวขึ้นแซงหน้า “ญี่ปุ่น” ขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจใหญ่ “อันดับ4” ของโลกได้ในสิ้นปีนี้
ส่วน “ญี่ปุ่น” เองคาดว่าผลกระทบจาก “ภาษี Trump” อาจกระทบกำไรบจ.ที่ลดลง อย่างไรก็ตามในภาพรวมการส่งออกในช่วงที่ผ่านมาดูยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ในส่วนของ “ตลาดหุ้น” ของ “อินเดีย” และ “ญี่ปุ่น” เองยังคงแข็งแกร่ง ไม่หวั่นไหว “Trade War” แต่ประการใด โดย “หุ้นอินเดีย” (SENSEX) มีย่อไปบ้างแต่ถึงปัจจุบันยังทรงตัว +1.66% ในขณะที่ “หุ้นญี่ปุ่น” (Nikkei225) +7.33%
ทำให้ “หุ้นอินเดีย” กลับมาอยู่ “ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 10 ปี” ไม่แพงเช่นในอดีตแล้ว มี Forward 12M P/E ที่ 20.63 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 20.63 เท่า จากที่เคยขึ้นไปสูงก่อนหน้า แต่คาดกำไรบจ.ยังโตได้ +16.18% ส่วน “หุ้นญี่ปุ่น” นั้นมูลค่าค่อนข้าง “ตึงตัว” มี Forward 12M P/E ที่ 20.2 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 18.2 เท่า (ที่มา: Bloomberg, วันที่ 29 ส.ค. 25)
โดย “อินเดีย” ยังถือเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเอเชียอยู่ เป็นโอกาสในการลงทุนในธีม “Story of Growth” ในระยะยาว ส่วน “ญี่ปุ่น” ก็ยังมีบริษัทดีๆ ให้เลือกลงทุนอีกมาก จึงถือเป็นอีก 2 ธีมที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน
วันนี้ทางทีมงาน ‘Wealthy Thai’ จึงได้คัดสรร “4 กองทุนเด่น” กันยา-ปีมะเส็ง กับ 2 ตลาดหุ้นที่น่าสนใจ “หุ้นอินเดีย” และ “หุ้นญี่ปุ่น” มาฝากกัน
“SCBINDIAA” ลุย "หุ้นอินเดีย" ชั้นนำสไตล์ "Passive Fund"
มาเริ่มกันที่ “SCBINDIAA: กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นอินเดีย (ชนิดสะสมมูลค่า)” ของบลจ.ไทยพาณิชย์ ที่เน้นลงทุน "หุ้นอินเดีย" เพื่อสร้างผลตอบแทนไปในทิศทางเดียวกับดัชนี"Nifty 50 Index" ผ่านกองทุนหลัก ‘iShares India50 ETF’ ในสกุลเงิน USD ที่บริหารจัดการโดย BlackRock Fund advisors
สำหรับหน้าตาพอร์ตของกองทุนหลัก (ณ วันที่ 30 มิ.ย. 25) มีการลงทุนใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมมากสุด ประกอบด้วย
Financials 37.47%
Information Technology 11.23%
Consumer Discretionary 11.15%
Energy 10.40%
Industrials 6.56%
“โดยหุ้นที่ลงทุนมากสุด 5 ตัวแรก ได้แก่ 1) HDFC BANK LTD 13.21%,2) ICICI BANK LTD 8.92%, 3)RELIANCE INDUSTRIES LTD 8.80%, 4)INFOSYS LTD 5.00% และ5) BHARTI AIRTEL LTD 4.74% ตามลำดับ”
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กองทุน ‘SCBINDIAA’ เคยมีผลขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -20.50%
“ASP-JPSMALL” เฟ้น "หุ้นญี่ปุ่น" ไซส์เล็ก ขุมทรัพย์ที่ยังไม่ถูกค้นพบ
สลับมาที่ “ASP-JPSMALL: กองทุนเปิด แอสเซทพลัส เจแปน สมอล แคป” ของบลจ.แอสเซท พลัส ที่เน้นลงทุน "หุ้นญี่ปุ่น" ที่บริษัทมีมูลค่าตลาดต่ำกว่า 500 พันล้านเยน ที่พื้นฐานดี โตตามเศรษฐกิจอย่างน้อย 75% ของ NAV ผ่านกองทุนหลัก ‘BNP Paribas Japan Small Cap, Class I, Capitalisation’ ในสกุลเงินเยน (JPY) ที่บริหารจัดการโดย BNP PARIBAS ASSET MANAGEMENT Luxembourg (Management Company)
สำหรับ “ASP-JPSMALL” เน้นลงทุนหุ้นขนาดเล็กของญี่ปุ่นที่มีศักยภาพเติบโตระยะยาว โดยคัดเลือกจากบริษัทที่มีพื้นฐานดี และมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการปฏิรูปตลาด เป็นโอกาสลงทุนที่ตลาดยังเข้าไม่ถึง
แม้เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเริ่มฟื้นตัว แต่หุ้นขนาดเล็กกลับถูกมองข้าม ทั้งที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีบริษัทเล็กจดทะเบียนมากกว่า 3,700 บริษัท หรือกว่า 90% ของบริษัทในตลาดทั้งหมด แต่มีนักวิเคราะห์ติดตามน้อยมาก หมายความว่าหลายบริษัทยังไม่ได้ถูกวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งหรือประเมินมูลค่าอย่างจริงจัง
“สิ่งที่น่าสนใจคือ ‘หุ้นเล็กญี่ปุ่น’ จำนวนมากยังมีราคาที่ไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริง โดยกว่า 30–40% ของหุ้นเล็กยังมีค่า Price-to-Book (PBV) ต่ำกว่า 1 เท่า (Source: Asset Plus Fund Management)
ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเองก็กำลังเร่งปฏิรูปอย่างจริงจังผ่านโครงการ TSE Reform ซึ่งเป็นการผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส รวมถึงสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริหาร ‘ปลดล็อกมูลค่าที่ซ่อนอยู่’ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ เช่น การซื้อหุ้นคืน (Share Buyback) และการเพิ่มอัตราการจ่ายปันผล (Dividend Yield)”
ปัจจุบันยังไม่มีผลการดำเนินงาน เพราะอยู่ระหว่างการเสนอขายครั้งแรก (IPO) วันที่ 26 ส.ค. – 3 ก.ย. 25
"MINDIA” ลุย "หุ้นอินเดีย" รับโอกาสเติบโตตามเศรษฐกิจ
ถัดมาเป็น “MINDIA: กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเดีย ซีเล็ค อิควิตี้” ของบลจ.เอ็มเอฟซี ที่เน้นลงทุนใน “หุ้นอินเดีย" เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวเป็นหลัก และแสวงหาโอกาสการลงทุนในปากีสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา ภูฏาน เนปาล และมัลดีฟส์ ผ่านกองทุนหลัก ‘India Select Fund, D USD Acc’ ที่มี Jupiter Asset Management Limited เป็นผู้จัดการการลงทุน (Investment manager) และ Jupiter Asset Management International S.A. เป็นบริษัทจัดการลงทุน (Management company)
สำหรับหน้าตาพอร์ตของกองทุนหลัก (ณ วันที่ 31 ก.ค. 25) มีการลงทุนใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมมากสุด ประกอบด้วย
Financials 24.70%
Consumer Staples 14.40%
Health Care 13.90%
Energy 11.40%
Industrials 9.20%
“โดย 5 หุ้นที่ลงทุนมากสุด ได้แก่ 1) Godfrey Phillips India Ltd 8.60%,2) Fortis Healthcare Ltd 4.40%,3) State Bank Of India 4.30%,4) Bharti Airtel Ltd 4.20% และ5) Bharat Petroleum Ltd 4.20% ตามลำดับ”
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กองทุน ‘MINDIA’ เคยมีผลขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -22.31%
“KFJPSCAP-A” คัด "หุ้นญี่ปุ่น" ไซส์เล็ก เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี
ปิดท้ายกันด้วย “KFJPSCAP-A: กรุงศรีเจแปนสมอลแคปอิควิตี้-สะสมมูลค่า” ของบลจ.กรุงศรี ที่เน้นลงทุนใน“หุ้นญี่ปุ่น" ของบริษัทขนาดเล็กที่เป็นบริษัทชั้นนําและมีศักยภาพ ผ่านกองทุนหลัก ‘MUFG Japan Equity Small Cap Fund (Class I)’ ที่บริหารจัดการโดย Waystone Management Company (Lux) S.A.
สำหรับหน้าตาพอร์ตของกองทุนหลัก (ณ วันที่ 30 มิ.ย. 25) พบว่า 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ลงทุนมากสุด ประกอบด้วย
Services 15.30%
Information & Communication 12.30%
Electric Appliances 11.50%
Banks 7.10%
Real Estate 6.60%
“โดย 5 หุ้นที่ลงทุนมากสุด ได้แก่ 1) OPEN HOUSE GROUP 2.53%,2) TOCALO 2.43%,3) ANEST IWATA 2.38%,4) 77 BANK 2.36% และ5) FUJIBO HOLDINGS 2.12% ตามลำดับ”
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กองทุน ‘KFJPSCAP-A’ เคยมีผลขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -26.53%
สำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสลงทุนใน “หุ้น” ในตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต ในราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อตอบโจทย์การสร้างความั่งคั่งในระยะยาว เชื่อว่า “หุ้นอินเดีย” และ “หุ้นญี่ปุ่น-ไซส์เล็ก” จะเป็นทางเลือกที่ช่วยเติมเต็มพอร์ตได้เป็นอย่างดี
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน