ย้อนความเห็นเลขากฤษฎีกา ทำไมรักษาการนายกฯไม่มีอำนาจยุบสภา
วิกฤตการเมืองไทยขณะนี้ได้เข้าสู่จุดหักเหที่สำคัญ เมื่อคณะรัฐมนตรีรักษาการต้องเผชิญกับปัญหาความชอบธรรมในการบริหารประเทศ หลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา
ท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างพรรคต่างๆ ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และการที่พรรคประชาชนยังไม่ชัดเจนในการเข้าร่วมรัฐบาล ทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องทางออกทางการเมือง โดยเฉพาะการหาทางเลือกผ่าน "การยุบสภา" ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นทางเลือกหนึ่ง
แต่คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี มีอำนาจในการยุบสภาหรือไม่?
ย้อนไปเมื่อช่วงกลางปี 2568 นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เคยชี้แจงประเด็นนี้ไว้อย่างชัดเจนผ่านโซเชียลมีเดีย โดยยืนยันว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการยุบสภา ด้วยหลักเหตุผลทางรัฐธรรมนูญที่น่าสนใจ ผ่านเฟซบุ๊ก “Alex Pakorn” โดยมีเนื้อหาที่มีการโพสต์นั้นเป็นการยืนยันว่า อำนาจของ รักษาการนายกรัฐมนตรี ยุบสภาไม่ได้ และปรับคณะรัฐมนตรี ไม่ได้
นายปกรณ์ ระบุว่า ตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของบ้านเรา การเสนอแต่งตั้งรัฐมนตรีและการยุบสภา เป็นอำนาจเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศที่ปกครองในระบอบรัฐสภาแบบ Westminster เป็นไปตาม “หลักความไว้วางใจ”
ประเทศไทยจะเห็นได้ชัดในประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความสรุปว่า ประธานสภา …. กราบบังคมทูลว่าสภาลงมติไว้วางใจให้ นาย/นางสาว … เป็นนายกรัฐมนตรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ส่วนกรณีประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี ก็ชัดเจนว่า บัดนี้นาย/นางสาว … นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรไว้วางใจให้เป็นรัฐมนตรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลดังต่อไปนี้เป็นรัฐมนตรี จะเห็นได้ชัดว่าเป็นความไว้วางใจมาเป็นทอดๆ และพระมหากษัตริย์ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตามที่สภาเสนอและประธานสภานำความกราบบังคมทูล หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ตามที่นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลว่าสมควรไว้วางใจ
โดยนัยนี้เอง รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกฯ จึงไม่มีอำนาจเสนอแต่งตั้งรัฐมนตรี หรือเสนอให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง เพราะรองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นเพียงรัฐมนตรีคนหนึ่งซึ่งได้รับความไว้วางใจจากนายกรัฐมนตรี เฉกเช่นเดียวกับรัฐมนตรีคนอื่น ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร จึงจะแต่งตั้งหรือปลดรัฐมนตรีคนอื่นๆ มิได้
หรือยิ่งไปกว่านั้นคือ รองนายกฯรักษาราชการแทนนายกฯจะเสนอให้ยุบสภา ถ้ายังมีผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯอยู่ ยิ่งไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้ได้รับความไว้วางใจจากสภาให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร หากเป็นเพียงผู้ซึ่ง นรม. ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ว่าเป็นผู้สมควรไว้วางใจให้แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเท่านั้น การยุบสภาจึงเป็นอำนาจเฉพาะของนายกฯเท่านั้น
กล่าวได้ว่าการกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีก็ดี หรือถวายคำแนะนำให้ยุบสภาก็ดี เป็นเรื่องของนายกฯ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากสภาให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารโดยแท้
ถ้านายกฯพ้นจากตำแหน่ง รองนายกฯรักษาราชการแทนนายกฯจะมีอำนาจเช่นนั้นหรือไม่ ต้องทราบว่าถ้านายกฯพ้นจากตำแหน่งไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ผลคือคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ และรัฐธรรมนูญบัญญัติรองรับไว้ว่า เมื่อ ครม. พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ให้ดำเนินการเพื่อให้มี ครม .ขึ้นใหม่ implication จึงชัดเจนว่าสภาต้องดำเนินการเพื่อให้มีการเลือก ครม. ใหม่ขึ้น
ดังนั้น จึงต้องมีสภาอยู่เพื่อดำเนินการดังกล่าว เป็นบทบังคับที่ต้องดำเนินการ สภาจึงไม่อาจถูกยุบได้ในห้วงเวลานี้ และถึงอยากจะทำก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีความชอบธรรมที่จะทำดังกล่าวมาข้างต้น
ถ้านายกฯเกิดป่วยจนปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้โดยสิ้นเชิง รองนายกฯรักษาราชการแทนนายกฯจะกราบบังคมทูลเพื่อยุบสภาได้ไหม ต้องบอกว่าในระบบความไว้วางใจนั้น ถ้าผู้ซึ่งสภาให้ความไว้วางใจปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้โดยสิ้นเชิง สภาก็ต้องเรียกประชุมกันเพื่อถอดถอนความไว้วางใจสำหรับท่านเดิม แล้วพิจารณาลงมติกันว่าสมควรไว้วางใจผู้ใดขึ้นแทน เป็นกระบวนการของสภาที่จะต้องปรึกษาหารือตกลงกัน ไม่ใช่กิจของผู้รักษาราชการแทน
นายปกรณ์ย้ำว่า คำว่า “ไว้วางใจ” ในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ “แบบ” แต่มันคือ “ระบบ”
"ที่เขียนมานี้เพียงเพื่ออธิบายหลักการของรัฐธรรมนูญตามความรู้ที่ร่ำเรียนมาเท่านั้น ถ้าอยากรู้ลึกๆ ให้ไปอ่านตำราประวัติศาสตร์ของระบบรัฐสภาแบบ Westminster ดู เอา ตั้งแต่สมัยพระเจ้า George I ที่เริ่มมี Prime Minister คนแรกคือ Sir Robert Whapole (later : 1st Earl of Oxford) ก็พอ"นายปกรณ์ระบุ
ล่าสุดวันนี้ (2 กันยายน 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์ถึงอำนาจการยุบสภาของรักษาการนายกรัฐมนตรีอีกครั้งว่า ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นไปแล้ว ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน
“ตนได้ให้ความเห็นไปแล้ว ยังยืนยันความเห็นเดิม” นายปกรณ์ ระบุ
เมื่อถามว่า จะเป็นอย่างไรถ้ารักษาการนายกฯ ตัดสินใจยุบสภาจริง นายปกรณ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบเหมือนกัน เมื่อถามย้ำว่า จะมีความผิดในทางกฎหมายหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า เรื่องยังไม่เกิด เราอย่าเพิ่งไปคาดเดาอะไรเลย ยังไม่มีอะไร ใจเย็นๆ
ส่วนหน่วยงานไหนจะเป็นผู้ตัดสินได้ชัดเจน นายปกรณ์ กล่าวว่า จริงๆ แล้วเรื่องการตีความรัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ เราเพียงให้ความเห็นกันไปคนละนิดละหน่อย แต่เดี๋ยวพูดกันไปมันจะยุ่ง
เมื่อถามอีกว่า เรื่องต้องเกิดขึ้นก่อน ถึงจะยื่นได้ใช่หรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า ใช่ ส่วนผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นนั้น เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีอะไรพิสดาร
ส่วนกรณีถ้ารัฐบาลยุบสภาแล้วมีคนไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญการเมืองในช่วงนั้นจะเป็นอย่างไร นายปกรณ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เรื่องยังไม่เกิดและขอไม่ตอบ