"ไหม" จี้ปรับลดงบฯ 69 อีก 5 หมื่นล้าน เก็บพื้นที่การคลังรับวิกฤต หวั่นหนี้สาธารณะชนเพดาน "ไอติม" ชี้ซ้ำซ้อน 3 ระดับทำงบิส้นเปลือง
“ศิริกัญญา” จี้ปรับลดงบประมาณ 2569 ลงอีก 5 หมื่นล้าน เก็บพื้นที่การคลังรับวิกฤต ชี้เศรษฐกิจไทยเผชิญ 3 ความเสี่ยงใหญ่ หนี้สาธารณะปี 69 จ่อชนเพดาน ด้าน“พริษฐ์ ” ชี้ความซ้ำซ้อน 3 ระดับทำงบฯ สิ้นเปลือง
วันนี้(13 ส.ค.) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการสงวนความเห็น อภิปรายในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาท วาระ 2 มาตรา 4 ภาพรวม โดยเสนอให้ปรับลดงบประมาณเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท จากตัวเลขปัจจุบันเหลือ 3.736 ล้านล้านบาท ระบุว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่จะขอตัดงบในยามประเทศเผชิญทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและความตึงเครียดชายแดน แต่สถานการณ์เศรษฐกิจที่เปราะบางทำให้จำเป็นต้อง “เก็บกระสุน” ไว้ใช้ยามจำเป็น
“การตัดงบครั้งนี้มีเหตุผลด้านการคลัง ไม่ใช่แค่ประเด็นทางงบประมาณ เพราะไทยกำลังเผชิญ “ภาวะ 3 เสี่ยง” ได้แก่ รายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ ซึ่งจะรุนแรงขึ้นจากสงครามการค้าที่กำลังก่อตัว”
น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่าจากข้อมูลสภาพัฒน์ฯ ที่ปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี 2569 จาก 2.8% เหลือ 1.6% เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งจะทำให้รายได้ภาษีลดลงราว 64,000 ล้านบาทจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ จีดีพีหดตัวและราคาน้ำมันโลกลดลงเหลือ 60–68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำกว่าประมาณการเดิม 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลกระทบต่อภาษีปิโตรเลียมและภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าน้ำมัน
นอกจากนี้ ปัญหาการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่า 15% ของจีดีพีเป็นปัญหาเรื้อรัง ปี 2567 รัฐเก็บภาษีตกเป้าเกือบ 80,000 ล้านบาท แต่ปิดหีบได้เพราะใช้รายได้พิเศษ เช่น ปตท. ปันผลก่อนกำหนด บีบกองทุนวายุภักษ์ และกองสลากเพิ่มรายได้ ซึ่งทำให้รายได้จากรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น 25.4% กลายเป็น “เดอะแบก” ปิดงบ ขณะที่ปี 2568 แนวโน้มตกเป้าซ้ำ โดย 9 เดือนแรกพลาดแล้วเกือบ 70,000 ล้านบาท และยังไม่รู้ว่าปีนี้จะมีรัฐวิสาหกิจใดมาช่วยปิดหีบได้อีกหรือไม่
ส่วนด้านรายจ่าย งบกลางเพื่อพยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 มีเพียง 25,000 ล้านบาทเท่าเดิม ทั้งที่ในปี 2568 ยังไม่มีวิกฤตแต่งบกระตุ้นเศรษฐกิจเกือบ 200,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ทุนเอฟทีเอช่วยเกษตรกรไม่ได้รับงบจัดสรรเลย กองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้เพิ่มเพียง 5 ล้านบาท ทำให้ไม่มีความพร้อมในการใช้งบรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ
ในส่วนหนี้สาธารณะ น.ส.ศิริกัญญา ระบุว่า ปัจจุบัน (มิ.ย. 2568) อยู่ที่ 64% ของจีดีพี และคาดว่าจะขึ้นเป็น 66% สิ้นปี 2568 และแตะ 69% ในปี 2569 หากกู้ตามแผนที่กำหนด ซึ่งจะทำให้มีโอกาสชนเพดาน 70% ของจีดีพีในไม่ช้า เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอต่อเนื่อง คาดว่ารัฐบาลอาจต้องออก พ.ร.บ.เงินกู้ หรือขยายเพดานหนี้เพื่อรับมือกับสถานการณ์
น.ส.ศิริกัญญายังวิจารณ์การปรับลดงบในชั้นกรรมาธิการว่า ทำได้เพียง 8,921 ล้านบาท และถูกนำไปจัดสรรให้ภาระผูกพันเดิม เช่น ใช้หนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม การจัดประชุมผู้ว่าการธนาคารไอเอ็มเอฟ และการคืนเงินประกันสังคม ซึ่งควรจัดเตรียมงบไว้ตั้งแต่ต้น ต่างจากตอนเกิดโควิดที่สามารถตัดงบได้ 30,000 ล้านบาท
“แม้จะไม่ต้องการตัดงบในช่วงวิกฤติ แต่สถานการณ์ปี 2569 บีบให้ต้องทำ เพื่อรักษาพื้นที่การคลังไว้ใช้เมื่อเกิดวิกฤติใหญ่จริง พร้อมเตือนว่าการจัดงบปีนี้ยังไม่ตอบโจทย์การรับมือสงครามการค้าและความท้าทายทางเศรษฐกิจที่จะมาถึง”
ด้านนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการสงวนความเห็น อภิปรายว่า เข้าใจว่ารัฐบาลเริ่มจัดสรรงบปี 2569 ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมกรรมาธิการเสียงข้างมากจากรัฐบาลจึงจัดลำดับความสำคัญงบฯ ได้น้อยเกินไป ทั้งที่ต้องเตรียมรับมือปัญหาเศรษฐกิจจากข้อตกลงกับสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของระเบียบโลก ซึ่งจะกระทบปากท้องประชาชนทุกภาคส่วน
ยกตัวอย่างเทียบกับ ปี 2564 กรรมาธิการฯ จัดงบใหม่ได้กว่า 31,000 ล้านบาท เพื่อรับมือโควิด แต่ปี 2569 จัดงบใหม่เพียง 8,000 กว่าล้านบาท เพื่อรับมือวิกฤตจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสถานการณ์ พร้อมชี้ว่า ประเทศไทยขาด “ประสิทธิภาพ” ในการใช้งบให้ตรงจุดและคุ้มค่า เพราะเกือบทุกกระทรวงยังมีส่วนที่สามารถปรับลดเพื่อนำไปแก้ปัญหาให้ประชาชนได้
นายพริษฐ์ระบุปัญหาความซ้ำซ้อนในงบประมาณแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ แยกกันทำ ความซ้ำซ้อนระดับโครงการ หลายโครงการมีเป้าหมายคล้ายกันแต่หน่วยงานต่างคนต่างทำ แทนที่จะร่วมมือ แย่งกันทำ ความซ้ำซ้อนระดับภารกิจ หลายหน่วยงานขยายภารกิจจนคาบเกี่ยวกับของเดิม และ ย้ายออกไปทำ ความซ้ำซ้อนระดับหน่วยงาน หน่วยงานใหม่ถูกตั้งขึ้นมาซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว
นายพริษฐ์กล่าวว่าการควบรวมหน่วยงานต้องทำด้วยความละเอียดรอบคอบ แม้ไม่การันตีว่าจำนวนงานและคนจะลดลง แต่เชื่อว่าหากพิจารณาควบรวมจริงจัง จะลดความสะเปะสะปะของโครงการ เพิ่มการแลกเปลี่ยนทรัพยากร และทำให้หน่วยงานทำงานไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น
“หากไม่เริ่มลดความซับซ้อนและซ้ำซ้อนในระบบราชการ งบประมาณอาจไม่เพียงพอสำหรับแก้ปัญหาสำคัญของประชาชน และประเทศจะขาดความคล่องตัวในการรับมือวิกฤตใหม่ ๆ ที่จะถาโถมเข้ามา” นายพริษฐ์กล่าว
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO