กมธ.เศรษฐกิจฯ วุฒิสภา แนะ 5 ข้อ แก้ปัญหา ผู้ประกอบการค้าชายแดนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
“กมธ.เศรษฐกิจฯวุฒิสภา” แนะ 5 ข้อ แก้ปัญหา ผู้ประกอบการค้าชายแดนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ จี้ ธปท.-สมาคมธนาคารไทย-สตช. จับมือสร้างกลไกกลาง ลดภาระเหยื่อ
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่รัฐสภา นายพงษ์ศักดิ์ เกิดวงศ์บัณฑิต ส.ว. ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การเศรษฐกิจการเงิน และการคลังวุฒิสภา แถลงเรื่องปัญหาการถูกอายัดบัญชีของผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกชายแดน ว่า ผู้ประกอบการด้านการค้าชายแดนกำลังเผชิญปัญหาบัญชีถูกอายัดทรัพย์ถือเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนและสะท้อนถึงจุดอ่อน บางประการในระบบการกำกับดูแลด้านการธุรกรรมทางการเงินของประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทย 10 กว่าบริษัทก็เป็นเหยื่อของมิจฉาชีพมาแล้ว
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า ทางกมธ.ฯได้รับหนังสือ ร้องเรียนจากผู้ประกอบการส่งออกชายแดนจำนวนหลายรายซึ่งประกอบธุรกิจ ด้านการค้าชายแดนขายสินค้าอุปโภคบริโภคให้กับผู้ซื้อฝั่งลาวและเวียดนามโดยมีการดำเนินการตามใบสั่งซื้อ ผ่านศุลกากรตามปกติ และผู้ซื้อชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่น แต่การค้าชายแดนมีความละเอียดอ่อน บริษัทไทยจะมีปัญหาในการออกเอกสารแสดงแหล่งกำเนิดสินค้า มีปัญหาการขาดเงินบาทในประเทศลาวและเวียดนาม และยังมีปัญหาการโอนเงินผ่านธนาคารผ่านธนาคารพาณิชย์ ผู้ซื้อจึงต้องใช้เส้นทาง โพยก๊วน ที่เป็นโต๊ะแลกเงินที่ไม่ได้รับใบอนุญาตในการโอนเงินเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าการโอนผ่านธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้มีมิจฉาชีพแอบอ้างหรือสวมรอย โดยการใช้ข้อมูลทางธุรกรรมทางด้านการเงินของผู้ประกอบการ ลวงบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง โอนเงินเข้าบัญชีของผู้ประกอบการโดยไม่พบที่มา ทำให้หน่วยงานราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจ้งอายัดบัญชีตามมาตรา 7 ของพระราชกำหนดป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2568 ซึ่งให้อำนาจในการระงับบัญชี โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้เจ้าของบัญชีทราบล่วงหน้า
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า การโอนผ่านช่องทางนอกระบบในลักษณะนี้ แม้จะไม่มีความผิดในแง่ของเจตนา แต่กลายเป็นช่องว่างที่ทำให้ผู้ประกอบการตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพ อาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือขบวนการฟอกเงินโดยไม่รู้ตัว และแม้ว่าผู้ประกอบการจะสามารถแสดงหลักฐานได้ครบถ้วนแต่ตำรวจคืนเงินไม่ได้ เพราะผู้เสียหายแจ้งความขอคืนเงินและมีเส้นทางการเงินที่ชัดเจน ทางกมธ.ฯจึงเห็นว่าเป็นปัญหาทั้งระบบที่จะต้องได้รับการแก้ไขรอบด้าน
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า กมธ.ฯจึงเห็นว่าควรมีทางออกในการเยียวยาและแก้ไขปัญหาให้กับผู้เสียหายที่ตกเป็นเครื่องมือของอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คือ1.ผู้ประกอบการที่เป็นเหยื่อต้องรีบไปชี้แจงกับพนักงานสอบสวนในแต่ละคดี โดยนำเอกสารการค้าทั้งหมดใบอินวอย หลักฐานการส่งออก ผ่านศุลกากรไปแสดง หากหลักฐานเพียงพอและพิสูจน์ว่าทำการค้าโดยสุจริต พนักงานสอบสวนก็น่าจะปลดอายัดให้ แต่หากผู้ประกอบการยังทำธุรกิจในรูปแบบเดิม ที่มีการรับเงินโดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินและลูกค้า ก็จะถูกอายัดบัญชีไปเรื่อย ๆ เพราะทางการใช้มาตรการนี้เป็นการสกัดกั้นมิจฉาชีพ
2.ผู้ประกอบการแจ้งความในฐานะเป็นผู้เสียหาย เนื่องจากธุรกิจของตนก็ได้รับความเสียหายด้วย 3.ผู้ประกอบการสามารถโอนคดี มารวมกันที่เดียวในฐานะผู้เสียหายร่วม 4.ขอให้ตำรวจอายัดเฉพาะยอดเงินร้องเรียนเสียหายร้องเรียนเท่านั้น แทนการอายัดทั้งบัญชี และ5. ประสานงานกับส่วนกลางขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมธนาคารไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ประสานงานกับสถานีตำรวจทั่วประเทศให้พิจารณาการปลดอายัดบัญชี ในกรณีที่มีหลักฐานชัดเจน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เป็นเหยื่อร่วม
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำต้องมีการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินที่โอนเข้ามา และผู้ประกอบการอาจต้องมีรายละเอียดของบัญชีที่ได้รับอนุญาตให้ชำระเงิน จากคู่ค้าเพื่อลดความเสี่ยงในการรับเงินของบุคคลของบุคคลที่เราไม่รู้จัก รวมถึงทำบัญชีของคู่ค้าที่เชื่อถือได้เท่านั้น และเปลี่ยนรูปแบบการค้า โดยผู้ประกอบการต้องปรับตัวจากการค้าแบบดั้งเดิมมาสู่รูปแบบที่โปร่งใสมากขึ้น และเสนอให้ธนาคารการแจ้งเตือนเจ้าของบัญชี ทันที เมื่อมีการระงับบัญชีเพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้แก้ไขได้ทัน ทั้งนี้กมธ.ฯยังเห็นว่าในงานที่ควบคุมดูแล ทั้ง ธปท. สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ควรมีกลไกกลางในการประสานงานระหว่างกัน เพื่อการดำเนินคดีอย่างมีเอกภาพลดภาระผู้ประกอบการและสร้างความยุติธรรม ให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศและภาครัฐควรให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการชายแดนอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อของการฉ้อโกง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : กมธ.เศรษฐกิจฯ วุฒิสภา แนะ 5 ข้อ แก้ปัญหา ผู้ประกอบการค้าชายแดนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th