ซื้อก่อน-จ่ายทีหลัง กำลังจะครองโลกในศตวรรษที่ 21
ซื้อก่อน-จ่ายทีหลัง กำลังยึดครองโลก
“รองเท้าวิ่งคู่ละ 8,000 ตั๋วคอนเสิร์ตศิลปินที่ชอบ 3,500 กางเกงตัวละ 1,200 กระเป๋าเก๋ ๆ ใบละ 2,000”
ถ้าเป็นคนสมัยก่อนกว่าจะตัดสินใจซื้อของแบบนี้คงคิดแล้วคิดอีก แต่สมัยนี้ฟังก์ชัน ‘ซื้อก่อน-จ่ายทีหลัง’ แถมผ่อนรายเดือนกับแพลตฟอร์มซื้อขายได้โดยตรง พฤติกรรมและฟังก์ชั่นเหล่านี้กำลังทำให้การตัดสินใจซื้อของที่อาจจะเกินตัวไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป (หรือแม้แต่การกดผ่อนค่าชาบู 299 บาท ที่ง่ายแค่เพียงไม่กี่คลิ๊ก)
ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าพฤติกรรมข้างต้นคุ้น ๆ เหมือนพฤติกรรมที่เกิดที่ประเทศไทยบ้านเรา จริง ๆ ต้องบอกว่าไม่เชิง เพราะพฤติกรรมดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาเหมือนกัน และกำลังลุกลามไปทั่วโลก
ซื้อก่อน-จ่ายทีหลัง กำลังกลายเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21
Worldpay บริษัทผู้ให้บริการด้านการชำระเงินระดับโลก ระบุว่า ‘การซื้อก่อนจ่ายทีหลัง’ (Buy now, Pay later : BNPL) ของโลกปี 2567 มีมูลค่ารวมกันสูงถึง 342,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 11 ล้านล้านบาท) ซึ่งตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่กระโดดพุ่งขึ้นอย่างมากจากเมื่อ 10 ปีก่อน, เมื่อ 10 ปีก่อนตัวเลข BNPL อยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์ฯ เท่านั้น (ราว 64,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นมากถึง 171 เท่า !
หลักการและแนวคิดของการปล่อยสินเชื่อเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1865 จาก 2 ผู้ประกอบการ ‘ไอแซค ซิงเกอร์’ และ ‘เอ็ดเวิร์ด คลาร์ก’ ที่เริ่มจากการขายจักรเย็บผ้าแบบผ่อนชำระ ซึ่ง ณ เวลานั้นถือว่าแนวทางการขายแบบนี้เป็นนวัตกรรมแห่งยุคสมัยเลยก็ว่าได้ และเมื่อโลกพัฒนามาเรื่อย ๆ บริการและสินค้าทางการเงินของบรรดาสถาบันการเงิน บริษัทบัตรเครดิต รวมไปถึงพวกแพลตฟอร์มซื้อของออนไลน์จากจีนก็พัฒนาตามนำมาซึ่งรูปแบบที่หลากหลายในการชักจูงให้คนมีความรู้สึก ‘ของมันต้องมี’ เงินที่จะจ่ายเอาไว้ทีหลัง
โดยแนวทางที่สถาบันการเงิน-บริษัทสินเชื่อใช้ชักจูงคน เช่น บริษัทการเงินสัญชาติอเมริกา ‘Affirm’ จะจ่ายเงินให้กับร้านค้าปลีกเป็นเงินก้อนล่วงหน้ากับสินค้าที่ลูกค้าซื้อ ภายใต้เงื่อนไขว่า ‘ให้ร้านค้ามีส่วนลดแก่ลูกค้า’ กล่าวคือ ลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อของ Affirm ซื้อสินค้าใดก็ตามจะได้ซื้อของในราคาที่ถูกกว่าคนที่จ่ายเต็ม ! การทำแบบนี้มีแต่ได้กับได้
ร้านค้าปลีกก็ชอบ เพราะได้ยอดขายเพิ่มขึ้น แม้จะต้องมีส่วนลดให้นิดหน่อยแต่ก็เป็นส่วนลดในช่วงที่ร้านค้ารับได้ แถมได้เงินก้อนค่าสินค้าจากบริษัทสินเชื่อแล้ว
กลุ่มลูกค้าที่เข้าถึงสินเชื่อ Affirm ก็มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายมากขึ้นถึง 20% เพราะได้สินค้าในราคาที่ถูก
บริษัทสินเชื่อ Affirm ก็ได้รับดอกเบี้ยจากที่ลูกค้ากดผ่อนเข้ามา หรือบางกรณีผ่อนไม่มีดอกเบี้ยก็ได้พฤติกรรมลูกค้าที่การันตีว่าต้องเป็นลูกค้ากับบัตรไปอีกหลายเดือน
แล้วก็ส่วนใหญ่คนกลุ่ม มิลเลนเนียลส์ (millennial) กลุ่มคน Generation Z นี่แหละ ที่เข้ามามีบทบาทในการดันให้ตัวเลข BNPL ของโลกค่อย ๆ สะสมสูงขึ้น คือระบบซื้อก่อนจ่ายทีหลังก็ช่วยผลักดันสร้างยอดขายในตลาด E-Commerce ให้บรรดาธุรกิจในประเทศต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจริง ๆ เช่น สวีเดน เยอรมนี นอร์เวย์ ทว่าเรื่องนี้ก็มีเรื่องที่น่ากังวล
ความน่ากลัวของการซื้อก่อน-จ่ายทีหลัง
The Economist รายงานว่าผู้บริโภคที่ซื้อก่อน-จ่ายทีหลัง มีแนวโน้มที่จะมีรายได้ต่ำกว่าวงเงินในบัตรเครดิตของตัวเอง เรื่องนี้ยังมีรายงานจากสถาบันการเงิน Klarna ว่าลูกค้าของบริษัทตนเสียเครดิตเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ไม่เพียงเท่านั้นงานวิจัยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนของผู้ใช้ BNPL ที่ชำระเงินล่าช้าเพิ่มขึ้นจาก 15% ในปี 2564 เป็น 24% ในปี 2567
คือต้องบอกว่าหลายธุรกิจได้รับอานิสงส์ให้ยอดขายโตจริงจากการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง แต่คนจะมีเงินเอามาจ่ายหนี้หรือไม่ อันนี้เป็นอีกเรื่อง และเราไม่ต้องมองที่ไหนไกล เพราะคนไทยอาจจะมีความสามารถในการชำระหนี้ไม่เก่งนัก ซื้อก่อนเก่ง แต่จ่ายตามหลังไม่ค่อยเก่งตาม
ttb analytics วิเคราะห์ว่าการที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นแบบนี้ทำให้หลายคนตกอยู่ในวงจรหนี้โดยไม่รู้ตัว ยิ่งการขาดความรู้ทางการเงินยิ่งทำให้นำไปสู่การผิดชำระหนี้ในที่สุด ซึ่งจากสถานการณ์ทางการเงินล่าสุดก็น่าเป็นห่วงจริง ๆ
ตัวเลขคุณภาพเครดิตสินเชื่อรายย่อยของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568
ยอดคงค้างสินเชื่อที่ค้างชำระหนี้ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป หรือ Stage 3 สูงถึงเกือบ 1.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.35% ของสินเชื่อรายย่อยทั้งหมด
ยอดคงค้างสินเชื่อที่เริ่มผิดนัดชำระหนี้ 1-3 เดือนยังค่อนข้างสูงถึงกว่า 4 แสนล้านบาท หรือ 7.62% ของสินเชื่อรายย่อยทั้งหมด
ไม่เพียงเท่านั้นคนไทยยังนิยมที่จะถือสินเชื่อหลายบัญชี พึ่งพาเงินกู้จากหลายแหล่างที่มา คนที่เริ่มต้นก่อหนี้จากสินเชื่อส่วนบุคคล มีแนวโน้มจะวนเวียนอยู่ในวงจรหนี้ และมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ในผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น ๆ ตามมาอย่างไม่รู้จบ
วันนี้ วันที่พฤติกรรมซื้อก่อน-จ่ายทีหลังกำลังกลายเป็นพฤติกรรมกระแสหลักของทั้งโลก ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน ถ้าเราซื้อได้ก็ต้องจ่ายให้ได้เช่นกัน ไม่งั้นจากอะไรที่ว่าดี ๆ มันจะแย่ไปเสียหมดอย่างไม่ทันตั้งตัว
ที่มา : The Economist, ttb analytics