โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ศาลสหรัฐฯ จะระงับภาษีการค้าของทรัมป์ได้หรือไม่

THE STANDARD

อัพเดต 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
ศาลสหรัฐฯ จะระงับภาษีการค้าของทรัมป์ได้หรือไม่

กฎหมายที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาใช้เป็นฐานในการขึ้นกำแพงภาษีทั่วโลกคือ ‘กฎหมายภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ’ (International Economic Emergency Powers Act: IEEPA) ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีประกาศภาวะฉุกเฉินและกำหนดมาตรการทางภาษีได้ทันที โดยไม่ต้องมีเหตุผลซับซ้อนหรือต้องทำการสอบสวนใดๆ ก่อน

ทรัมป์ได้อ้างถึงภาวะฉุกเฉิน 2 กรณี กรณีแรกคือ ปัญหาเรื่องสารตั้งต้นยาเสพติดเฟนทานิล นี่เป็นฐานที่ทรัมป์ใช้ในการขึ้นกำแพงภาษีแคนาดาและเม็กซิโก โดยสหรัฐฯ อ้างว่าทั้งสองประเทศไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามมากเพียงพอในการควบคุมการลักลอบค้าเฟนทานิลผ่านพรมแดนของทั้งสองประเทศ

อีกกรณีหนึ่งที่รัฐบาลทรัมป์ใช้เป็นฐานในการขึ้นกำแพงภาษีต่อทุกประเทศคือ การที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าอย่างมหาศาลและยืดเยื้อยาวนาน ส่งผลให้ทรัมป์ประกาศขึ้นกำแพงภาษีร้อยละ 10 กับสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลก และยังจะมีการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เพิ่มเติมอีกเป็นรายประเทศ

ปรากฏว่ามีผู้ร้องไปที่ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US Court of International Trade) ว่าทรัมป์ ‘ทำเช่นนี้ไม่ได้’ โดยศาลก็ได้ตัดสินแล้วว่า ‘ทรัมป์ผิดและให้ระงับภาษี’ แต่ปัจจุบันคดีกำลังอยู่ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งได้ไฟเขียวให้ทรัมป์เก็บภาษีต่อไปได้ในระหว่างที่ยังไม่มีคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ออกมา

เราลองมาดูเหตุผลทางกฎหมายของฝั่งรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งอ้างถึงสมัยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันที่เคยขึ้นกำแพงภาษีเช่นนี้มาแล้ว โดยอาศัยถ้อยคำในบทบัญญัติของกฎหมายที่ให้อำนาจประธานาธิบดี ‘กำกับการนำเข้า’ (Regulate Importation) เมื่อประกาศภาวะฉุกเฉิน ประธานาธิบดีนิกสันได้ประกาศขึ้นกำแพงภาษีร้อยละ 10 โดยอ้างเหตุผลการขาดดุลการค้า ซึ่งศาลอุทธรณ์ในสมัยนั้นได้เคยตีความแล้วว่าถ้อยคำ ‘กำกับการนำเข้า’ ตามกฎหมายนั้น สามารถตีความอย่างกว้างขวางให้รวมถึงการขึ้นภาษีศุลกากรได้

รัฐบาลทรัมป์จึงมองว่าได้เคยมีคำพิพากษาบรรทัดฐานในอดีตและแนวทางการตีความในอดีตที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า ประธานาธิบดีสามารถขึ้นกำแพงภาษีได้เมื่อประกาศภาวะฉุกเฉิน รวมทั้งการขาดดุลการค้าก็เป็นภาวะฉุกเฉินที่นิกสันเองก็เคยประกาศมาแล้วด้วย

ส่วนคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งให้ระงับการขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ (รัฐบาลทรัมป์แพ้คดี และอยู่ระหว่างการอุทธรณ์) นั้น เหตุผลหลักที่ศาลให้คือ รัฐบาลไม่สามารถตีความว่ากฎหมายภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีศุลกากรได้อย่าง ‘ไม่มีขอบเขตจำกัด’ โดยไม่มีการจำกัดขอบเขตเวลาหรืออัตราการจัดเก็บ เพราะย่อมจะ ‘ไม่สมเหตุสมผล’ และขัดต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่ระบุว่าอำนาจในการกำหนดภาษีเป็นของ ‘สภาคองเกรส’

ข้อโต้แย้งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การขาดดุลการค้า ‘ที่ต่อเนื่องยาวนาน’ จะนับว่าเป็นภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจได้อย่างไร ในเมื่อได้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องยาวนานมาโดยตลอด และตามหลักเศรษฐศาสตร์เอง การขาดดุลการค้าก็เป็นไปตามกลไกการค้าปกติ ไม่ได้สะท้อนว่าสหรัฐฯ เสียเปรียบหรือเกิดภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด

ปัจจุบัน คดีนี้จึงอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งมีคำสั่งให้การขึ้นภาษียังคงดำเนินการต่อไปได้ในระหว่างการพิจารณา แต่ถึงแม้ว่าในอนาคตศาลอุทธรณ์จะตัดสินเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นว่าทรัมป์ทำเช่นนี้ไม่ได้ ทรัมป์ก็ยังมีช่องทางสู้ต่อในชั้นศาลสูงสุด ซึ่งปัจจุบันมีผู้พิพากษาฝั่งอนุรักษ์นิยมที่มาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันเป็นเสียงข้างมากอยู่

และถึงแม้สมมติว่าในท้ายที่สุดของที่สุด ศาลสูงสุดสหรัฐฯ จะตัดสินให้รัฐบาลทรัมป์แพ้ แต่ก็คง ‘ไม่อาจหยุดยั้ง’ การขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ได้อยู่ดี เพราะทรัมป์ยังคงมีกฎหมายอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสามารถหยิบมาใช้เป็นฐานในการขึ้นกำแพงภาษีได้ ตัวอย่างเช่น ใช้มาตรา 122 ของกฎหมายการค้า 1974 ซึ่งใช้ได้ทันที ไม่ต้องสอบสวน สามารถเก็บภาษีได้สูงสุดร้อยละ 15 เป็นเวลา 150 วัน

หรือไปใช้มาตราคลาสสิกอย่างมาตรา 301 ตามกฎหมายการค้า ซึ่งทรัมป์เคยใช้มาแล้วในสมัยรัฐบาลทรัมป์ 1 ในการเก็บภาษีสินค้าจีนร้อยละ 25 มาตรานี้ใช้สำหรับตอบโต้ ‘พฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม’ เช่น การอุดหนุน หรือขโมยเทคโนโลยี เพียงแต่มีเงื่อนไขคือ ต้องผ่านการสอบสวนก่อน แต่นักกฎหมายหลายคนมองว่าสำนักผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ มีผลการสอบสวนพร้อมอยู่แล้วว่าแต่ละประเทศมีมาตรการการค้าที่สหรัฐฯ มองว่าไม่เป็นธรรมอะไรบ้าง สามารถออกรายงานผลการสอบสวนรายประเทศได้ไม่ยาก หากต้องการจะทำ

อีกมาตราหนึ่งคือ มาตรา 232 ภายใต้กฎหมายการขยายการค้า (Trade Expansion Act of 1962) ซึ่งใช้ขึ้นกำแพงภาษีด้วยเหตุผลด้าน ‘ความมั่นคงแห่งชาติ’ ซึ่งก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยใช้กับการขึ้นกำแพงภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ ซึ่งทรัมป์อาจขยายต่อสู่ยาหรืออิเล็กทรอนิกส์อีกด้วยในอนาคต

มีหลายคนถามต่อว่า แล้วกลไกกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น กลไกองค์การการค้าโลก (WTO) สามารถหยุดทรัมป์ได้หรือไม่ คำตอบคือ ปัจจุบันได้เกิดวิกฤตองค์การอุทธรณ์ (Appellate Body) ขององค์การการค้าโลก (WTO) เนื่องจากการคัดค้านการแต่งตั้งองค์คณะอุทธรณ์ใหม่โดยสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้องค์กรอุทธรณ์ไม่สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้มาตั้งแต่ปี 2019 ส่งผลให้กลไกการระงับข้อพิพาทของ WTO ‘หยุดชะงัก’

ดังนั้น หากมีการยื่นเรื่องร้องเรียนในองค์การการค้าโลกว่าสหรัฐฯ ทำผิดกฎข้อตกลง ก็จะเป็นการยื่นฟ้องต่อสุญญากาศ เพราะไม่มีองค์กรอุทธรณ์ที่จะตัดสินชี้ขาดในขั้นสุดท้ายได้ในขณะนี้

อลัน ไซคส์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด จึงได้แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า จริงๆ แล้วในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า สหรัฐฯ ดำเนินพฤติกรรม ‘เสมือนได้ถอนตัว’ ออกจากการถูกผูกพันด้วยกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลกเรียบร้อยแล้ว

สหรัฐฯ ไม่เคารพกฎเกณฑ์สำคัญอย่าง ‘หลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง’ (Most-Favoured Nation: MFN) ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญขององค์การการค้าโลกที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติต่อสินค้าและบริการจากทุกประเทศสมาชิกอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ แต่ทรัมป์กลับเลือกขึ้นกำแพงภาษีแต่ละชาติในอัตรามากน้อยแตกต่างกันไป

เอาเข้าจริง ปัญหาที่สหรัฐฯ ไม่เคารพกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลกไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสมัยของทรัมป์ แต่เริ่มมีสัญญาณมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลบารัก โอบามาที่สหรัฐฯ ได้เริ่มคัดค้านการแต่งตั้งองค์คณะอุทธรณ์ใหม่ และยังรุนแรงขึ้นในสมัยรัฐบาลโจ ไบเดน ซึ่งไม่ได้ยกเลิกกำแพงภาษีจีนของทรัมป์ 1 และยังออกกฎหมายอุดหนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งขัดแย้งต่อกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลกเกี่ยวกับมาตรการอุดหนุนอย่างชัดเจน

สรุปก็คือ ดูจะไม่มีอะไรสามารถหยุดการขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ได้ และยิ่งไปกว่านั้น แม้สุดท้ายในอนาคตพรรคเดโมแครตจะกลับมาชนะเป็นรัฐบาล ก็อาจเดินตามแนวทางของทรัมป์ต่อไป เพราะกระแสฐานเสียงภายในสหรัฐฯ ต่างไม่นิยมชมชอบการค้าเสรีอีกต่อไป ดังนั้น คงต้องทำใจว่า ระบบการค้าพหุภาคีและกฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศคงจะสั่นสะเทือนไปอีกนานพอสมควร

แฟ้มภาพ: Shutterstock

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

พม. รับ เด็กชาย 13 ปี-มารดา เข้าบ้านพักเด็กและครอบครัวสุรินทร์แล้ว ยืนยันให้การคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กมธ. นิรโทษกรรมมีมติเสียงข้างมากไม่รวมคดี ม. 112 ตามที่ ‘ชัยธวัช-ศศินันท์’ เสนอ ยังได้ลุ้นถกมาตรา 6 นัดต่อไป

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รมช.กลาโหมชี้สร้างรั้วถาวรต้องทำตามขั้นตอน แนะรอเจรจาหยุดยิงสมบูรณ์-ปักปันเขตแดนชัดเจน ป้องกันปัญหาในอนาคต

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

บลู พงศ์ทิวัตถ์ เดบิวต์ศิลปินเดี่ยวค่าย LOVEiS พร้อมเผยซิงเกิลแรก ยังฟังเพลงเดิมอยู่ไหม (Same Old Song)

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

วิดีโอ

วิทเยนทร์ เผยจับตาศาลรธน.พรุ่งนี้ ลั่น! แพทองธาร ไม่เหมาะสมจะปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ต่อ เป็นภัยต่อความมั่นคงชาติ ทรยศต่อหน้าที่

BRIGHTTV.CO.TH

ไทยเตรียมสร้างรั้วแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลักเขตที่ 49-50 ด่านคลองลึก ยกระดับมาตรการด้านความมั่นคง

ข่าวเวิร์คพอยท์ 23

2 กรมชลฯ ไทย–มาเลเซีย ผนึกกำลังเดินหน้าปรับปรุงปากแม่น้ำโก-ลก

The Bangkok Insight

เปิดวาร์ป หนุ่มตี๋สุดหล่อ "แฟนใหม่ จ๊ะ นงผณี" ดีกรีไม่ธรรมดา

ThaiNews - ไทยนิวส์ออนไลน์

ยิ่งสาวยิ่งเจอ! “อดีตพระอลงกต” ให้ยืมเงิน 100 ล้าน ซื้อ ฮ. “สมปอง” ยันยืม 13 ล้าน

สยามรัฐ

ตบสาวไทยซ้อมเสิร์ฟ-เกมรับ ก่อนดวลญี่ปุ่น ชิงแชมป์โลก

สำนักข่าวไทย Online

รัสเซียใช้โดรน-ขีปนาวุธนับร้อยถล่มเคียฟ ดับอย่างต่ำ14ราย-บาดเจ็บเกือบครึ่งร้อย

Manager Online

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2568

สำนักข่าวไทย Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

บันทึกหน้าสุดท้าย…และบทต่อไปของ CGM48

THE STANDARD

เหตุกราดยิงโรงเรียนในมินนีแอโปลิส เด็กตาย 2 คน บาดเจ็บ 17 คน คาดผู้ก่อเหตุเกลียดชังคาทอลิก

THE STANDARD

สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าจากอินเดีย 50% เหตุซื้อขายน้ำมัน-อาวุธจากรัสเซีย

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...