ย้อนรอยคดีประวัติศาสตร์ “นายกรัฐมนตรีไทย” กับชะตากรรมในมือศาลรัฐธรรมนูญ
ใกล้เข้ามาทุกทีสำหรับบทสรุปสำคัญที่จะชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองของ "นางสาวแพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบัน ซึ่งจะมีการไต่สวนในวันที่ 21 สิงหาคม และศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ทว่าการเผชิญหน้ากับอำนาจตุลาการในครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประมุขฝ่ายบริหารของไทย ต้องก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ศาลรัฐธรรมนูญ ย้อนกลับไปตั้งแต่การประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ 2540, รัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐธรรมนูญ 2560 มีนายกรัฐมนตรีไทยรวมทั้งสิ้น 7 คน ที่เคยถูกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ หรือการกระทำที่อาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาดูกันว่าเส้นทางของนายกรัฐมนตรีแต่ละท่านเป็นอย่างไรบ้าง
1.ทักษิณ ชินวัตร : เฉียดฉิว "คดีซุกหุ้น" บททดสอบแรกของศาลรัฐธรรมนูญ
ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ต้องเผชิญกับคดีประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันในชื่อ"คดีซุกหุ้น" โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยกรณีที่นายทักษิณ จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ขณะดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในวันที่ 3 สิงหาคม 2544 ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยด้วยมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 7 เสียง ว่านายทักษิณไม่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 295 ที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินตามเวลาและวิธีการที่กำหนด นับเป็นชัยชนะที่เฉียดฉิว และเป็นบททดสอบสำคัญครั้งแรกของศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น
2.สมัคร สุนทรเวช : สิ้นสุดตำแหน่งนายกฯ เพราะ "ชิมไป บ่นไป"
สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่สืบทอดมาจากพรรคไทยรักไทย ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 ที่เป็นผลพวงจากการรัฐประหารปี 2549 ในระหว่างที่นายสมัครดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาได้เป็นพิธีกรดำเนินรายการโทรทัศน์ถึงสองรายการ ได้แก่ "ชิมไป บ่นไป" และ "ยกโขยง 6 โมงเช้า" การกระทำดังกล่าว ได้นำไปสู่การร้องเรียนจากกลุ่ม สว. จำนวน 29 คน นำโดยนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 267 ที่ห้ามมิให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นลูกจ้างของบุคคลใด เพื่อป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์
ในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง เห็นว่าการเป็นพิธีกรของนายสมัคร ถือเป็นการกระทำอันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของเขา ต้องสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กันยายน 2551
3.สมชาย วงศ์สวัสดิ์ : พ้นตำแหน่งจาก "คดียุบพรรคพลังประชาชน"
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ รักษาการหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยปริยาย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญ ได้อ่านคำวินิจฉัยใน คดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย
สาเหตุหลักมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของสมาชิกพรรค คือ นายยงยุทธ ติยะไพรัช จากพรรคพลังประชาชน, นายมณเฑียร สงฆ์ประชา จากพรรคชาติไทย และนายสุนทร วิลาวัลย์ จากพรรคมัชฌิมาธิปไตย ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้ยุบพรรคพลังประชาชน และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี (รวม 37 คน) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อนายสมชาย ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรค ทำให้สถานะนายกรัฐมนตรีของท่านสิ้นสุดลงทันที
4.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร : พ้นตำแหน่งเหตุโยกย้ายเลขาฯ สมช. เอื้อประโยชน์
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อีกหนึ่งนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 และต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในปี 2554 เมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ได้มีคำสั่งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ พร้อมทั้งโยกย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. แทน จากนั้นจึงมีการเสนอชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นเครือญาติของนางสาวยิ่งลักษณ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร.
การกระทำดังกล่าว ถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจโยกย้ายโดยไม่ชอบมาพากลเพื่อเอื้อประโยชน์แก่เครือญาติ ทำให้นายไพบูลย์ นิติตะวัน สว. สรรหา และคณะรวม 28 คน ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ตาม รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบมาตรา 268 และมาตรา 266 (2) และ (3) กรณีใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์สิ้นสุดลง
5.ประยุทธ์ จันทร์โอชา: รอด 3 คดีใหญ่ "บ้านพักหลวง-เจ้าหน้าที่รัฐ-นายกฯ เกิน 8 ปี"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่ต้องเผชิญกับกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมากที่สุดถึงสี่ครั้ง โดยแต่ละคดีล้วนเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 มีเพียงหนึ่งครั้ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้อง คือ กรณีที่นายกฯ นำคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม มีอีกสามคดีสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยและมีคำตัดสินให้ พล.อ.ประยุทธ์ พ้นผิดในทุกกรณี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่หลายท่านมีความเชื่อมโยงกับกลไกของการรัฐประหารและการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. มีบทบาทสำคัญในการออกแบบ
คดีหัวหน้า คสช. เป็นเจ้าหน้าที่รัฐขาดคุณสมบัติเป็นนายกฯ ข้อกล่าวหานี้ริเริ่มโดย สส.พรรคฝ่ายค้าน จำนวน 110 คน ที่โต้แย้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เนื่องจากตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถือเป็น "เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ" ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (15) ที่ระบุว่ารัฐมนตรีต้องไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
ในวันที่ 18 กันยายน 2562 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า ตำแหน่งหัวหน้า คสช. ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ เนื่องจาก คสช. เป็น "รัฏฐาธิปัตย์" ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ และการทำงานของหัวหน้า คสช. เป็นการแต่งตั้งตามอำนาจรัฐประหาร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎหมายปกติ
คดี "บ้านพักหลวง" ข้อกล่าวหานี้ถูกยื่นโดย สส.พรรคฝ่ายค้าน 55 คน โดยอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงพักอาศัยอยู่ในบ้านพักราชการทหารที่กรมทหารราบที่ 1 (ร.1 รอ.) แม้จะพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แล้ว การกระทำนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 184 ประกอบมาตรา 186 ซึ่งห้ามมิให้รัฐมนตรีรับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ จากหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษ อันอาจนำไปสู่การสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี
ในที่สุด วันที่ 2 ธันวาคม 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความผิด เนื่องจากเห็นว่าการพักอาศัยในบ้านพักรับรองเป็นไปตามระเบียบของกองทัพบก ไม่ใช่การได้รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ จากกองทัพบกเป็นพิเศษ
คดีเป็นนายกฯ เกิน 8 ปี ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 คดีนี้เริ่มต้นจาก สส.พรรคฝ่ายค้าน 172 คน ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ เนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบกำหนด 8 ปี ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ โดยมีการนับตั้งแต่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ ครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 30 กันยายน 2565 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง เห็นว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่สิ้นสุดลง โดยให้เริ่มนับระยะเวลาการเป็นนายกฯ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้ คือเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 เป็นต้นมา
6.เศรษฐา ทวีสิน: คดีเสนอชื่อรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติ
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ต้องเผชิญกับคดีสำคัญเมื่อกลุ่ม สว.ชุดพิเศษ จำนวน 40 คน นำโดยนายสมชาย แสวงการ ได้ร่วมกันเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 82 ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยความสิ้นสุดลงของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา
สาเหตุหลักมาจากกรณีที่นายเศรษฐา ได้ทูลเกล้าฯ แต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่นายพิชิตเคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับคดีความ ซึ่งถูกมองว่าอาจขัดต่อคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการขาดคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี ในการแต่งตั้งบุคคลเข้ารับตำแหน่ง
7.แพทองธาร ชินวัตร: คดีคลิปเสียงสนทนากับ "ฮุน เซน"
ล่าสุดคือคดีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ที่ ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนในคดีที่เกี่ยวข้องกับคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งเป็นคดีที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด และคำตัดสินในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ จะเป็นบทสรุปสำคัญต่อเส้นทางการเมืองหลังจากนี้
แม้ว่าที่ผ่านมา มีการยื่นร้องเรียนคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีต่อศาลรัฐธรรมนูญ มาแล้วถึง 6 คน ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 นี้ จึงเป็นอีกครั้งที่นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย จะต้องเผชิญหน้ากับศาลรัฐธรรมนูญ.. บทสรุปจะเป็นอย่างไร สังคมไทยต้องกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิด!!..