โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

HIV ระบาดในกองทัพรัสเซีย ยอดติดเชื้อพุ่ง 2,000% สะท้อนระบบบริหารจัดการของรัฐบาล - กองทัพล้มเหลว

THE STATES TIMES

อัพเดต 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เรื่องเล่าจากเครมลิน

สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ดำเนินมานานกว่าสองปี ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างภายในของกองทัพรัสเซียเอง หนึ่งในปัญหาที่ถูกละเลยและไม่ถูกพูดถึงอย่างเป็นทางการ คือการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราการติดเชื้อ HIV ในหมู่กำลังพลทหาร โดยมีรายงานและข้อมูลจากแหล่งข่าวอิสระ รวมถึงนักวิชาการรัสเซียที่สะท้อนภาพการระบาดที่สูงผิดปกติในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตัวเลขที่น่าตกใจถึงการเพิ่มขึ้นกว่า 2,000% ของผู้ติดเชื้อในกองทัพ ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางสถิติเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางทางสุขภาวะและความไม่พร้อมของระบบสาธารณสุขทหารในช่วงสงคราม

นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวยังสะท้อนปัจจัยสังคมและวัฒนธรรม เช่น ความเครียดจากสภาพสงคราม พฤติกรรมเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ความล้มเหลวของนโยบายรัฐในการป้องกันและรักษา และวาทกรรมความเข้มแข็งชายเป็นใหญ่ที่กดทับการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส บทความนี้จึงมุ่งวิเคราะห์ปัญหาการระบาดของ HIV ในกองทัพรัสเซียในมิติต่าง ๆ ทั้งจากมุมมองของสื่อ นักวิชาการรัสเซีย และบริบทเชิงนโยบายที่มีผลกระทบต่อการจัดการวิกฤตสุขภาพนี้ เพื่อให้เห็นภาพรวมของภัยความมั่นคงเชิงสุขภาวะที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐและแนวทางที่อาจเป็นไปได้ในการรับมือกับสถานการณ์นี้

แม้รัฐบาลรัสเซียจะพยายามควบคุมภาพลักษณ์ของกองทัพอย่างเข้มงวดโดยหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพของกำลังพล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของสงครามที่ภาพลักษณ์ความเข้มแข็งและความพร้อมของกองทัพถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รัฐจึงพยายามหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลที่อาจส่งผลเสียต่อขวัญและกำลังใจของทหาร รวมถึงภาพลักษณ์ทางการเมืองที่ต้องการแสดงความแข็งแกร่งต่อโลกภายนอก แต่สื่ออิสระและนักวิชาการรัสเซียหลายรายกลับสะท้อนภาพของวิกฤตการณ์สุขภาวะที่กำลังขยายตัวในแนวหลังของสมรภูมิยูเครน Carnegie Politics รายงานว่า หลังการรุกรานยูเครนในปี ค.ศ. 2022 อัตราการติดเชื้อ HIV ในหมู่ทหารรัสเซียพุ่งขึ้นกว่า 2,000% ในบางพื้นที่ โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเสี่ยงในภาวะสงคราม เช่น การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และการถ่ายเลือดในพื้นที่แนวหน้าโดยปราศจากระบบคัดกรองที่ได้มาตรฐาน สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงสภาพระบบแพทย์ทหารที่ไม่สามารถรองรับภาระของสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพ และชี้ไปยัง “รอยรั่วเชิงโครงสร้าง” ที่ไม่ได้รับการเยียวยาในขณะที่หน่วยงานรัฐยังนิ่งเฉยต่อปัญหา สื่ออิสระอย่าง Echo of Moscow «Эхо Москвы» และ Verstka ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกว่าทหารบางนายมีการใช้เอกสารปลอมเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจำกัดสิทธิในการประจำการหรือเข้ารับการรักษา นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ผู้ติดเชื้อถูกส่งกลับไปยังแนวหน้าทั้งที่อยู่ในภาวะอ่อนแอจากโรค ทั้งนี้สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้กฎหมายของรัสเซียที่ไม่ได้กำหนดให้มีการตรวจหาเชื้อ HIV อย่างครอบคลุมก่อนหรือระหว่างการรับราชการทหาร โดยเฉพาะในกลุ่มทหารเกณฑ์ ส่งผลให้หลายรายเข้าสู่กองทัพโดยไม่มีการประเมินสุขภาพพื้นฐานที่จำเป็น

ในขณะที่ข้อมูลจาก Rospotrebnadzor «РОСПОТРЕБНАДЗОР» หรือหน่วยงานควบคุมโรคของรัฐ ยืนยันว่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 เป็นต้นมา มีอัตราการตรวจพบเชื้อ HIV ในหมู่ทหารเกณฑ์อยู่ที่ประมาณ 0.4 รายต่อประชากร 100,000 ราย และ 8.1 รายต่อ 100,000 รายในหมู่ทหารสัญญาจ้าง แม้จะดูต่ำในเชิงเปรียบเทียบแต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านี่อาจเป็นเพียง “ยอดของภูเขาน้ำแข็ง” เนื่องจากการเก็บข้อมูลยังคงล้าหลังและมีแนวโน้มถูกปกปิดโดยหน่วยงานทหารเอง ด้านนักวิทยาศาสตร์และนักระบาดวิทยาชั้นนำอย่างศาสตราจารย์ ดร.วาดิม ปอครอฟสกี «Вадим Валентинович Покровский » แห่งสถาบันโรคติดเชื้อแห่งรัสเซีย ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มการแพร่ระบาดในกลุ่มชายหนุ่มอายุ 18–35 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของการเกณฑ์ทหาร โดยระบุว่าการแพร่เชื้อในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมเสี่ยงในพื้นที่ชนบท เช่น การใช้สารเสพติดโดยใช้เข็มร่วม การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ปลอดภัย ทั้งในกลุ่ม heterosexual และ bisexual โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่ความรู้เรื่องการป้องกัน HIV ยังถูกกดทับด้วยวาทกรรมทางศีลธรรมและความกลัวการตีตรา การวิเคราะห์ของ ศาสตราจารย์ ดร.วาดิม ปอครอฟสกี สะท้อนปัญหาเชิงนโยบาย กล่าวคือ ภายใต้รัฐบาลรัสเซียในปัจจุบัน องค์กรภาคประชาสังคมและ NGO ด้านสุขภาพที่ทำงานกับกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ใช้ยาและกลุ่ม LGBTQ+ ถูกจำกัดบทบาทอย่างหนัก บางแห่งถูกจัดเป็น “องค์กรตัวแทนต่างชาติ” (foreign agents) ซึ่งทำให้การเข้าถึงความรู้ การแจกจ่ายถุงยางอนามัย และการให้คำปรึกษาแก่ทหารหรือประชาชนทั่วไปในพื้นที่ห่างไกลแทบเป็นไปไม่ได้ นโยบายรัฐจึงไม่เพียงละเลย แต่ยัง “ปิดประตู” ต่อกลไกที่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้อย่างแท้จริง เมื่อพิจารณาร่วมกัน ข้อมูลจากสื่อและนักวิชาการรัสเซียเหล่านี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึง “ปัญหาสุขภาพ” ในหมู่ทหาร แต่ยังสะท้อนความล้มเหลวของระบบทหารแบบรวมศูนย์ การปกปิดข้อมูลเพื่อรักษาภาพลักษณ์ และการใช้วาทกรรมรัฐชาติเหนือมนุษยธรรม

สถานการณ์การระบาดของเชื้อ HIV ในกองทัพรัสเซียในช่วงสงครามกับยูเครนถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่สะท้อนความเปราะบางทั้งในระดับบุคคลและโครงสร้างของรัฐทหาร แม้สงครามจะมุ่งเน้นไปที่การใช้กำลังทางทหารและเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ “ภัยคุกคามเชิงสุขภาพ” เช่น HIV กลับสร้างแรงกดดันและผลกระทบที่ซ่อนเร้นต่อสมรรถนะการรบของกองทัพ โดยพื้นฐานแล้ว ทหารที่ติดเชื้อ HIV มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่รุนแรงและลดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจในระยะยาว ซึ่งส่งผลให้กองทัพต้องแบกรับภาระการรักษาและเสี่ยงต่อการสูญเสียกำลังพลที่มีประสบการณ์ รวมทั้งการลดทอนประสิทธิภาพทางยุทธวิธีในสนามรบ โดยเฉพาะในสงครามที่กินเวลานานและต้องการกำลังพลที่แข็งแรงและพร้อมรบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้สภาพแวดล้อมสงครามที่มีความเครียดสูง ความโดดเดี่ยว และความไม่แน่นอน ส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้สารเสพติดและการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้การแพร่ระบาดของ HIV ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว กลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ยากต่อการควบคุมในบริบทของความขัดแย้ง

นักวิชาการและสำนักวิเคราะห์จากฝั่งตะวันตก เช่น International Crisis Group, RAND Corporation และ Foreign Policy ให้ความสนใจอย่างมากต่อปรากฏการณ์การระบาดของเชื้อ HIV ในกองทัพรัสเซีย โดยมองว่าเป็นปัญหาที่สะท้อนความล้มเหลวเชิงระบบของการบริหารจัดการกำลังพลและการดูแลสุขภาพภายในกองทัพท่ามกลางสงครามที่ยืดเยื้อ รายงานจาก International Crisis Group ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลรัสเซียมุ่งเน้นการรักษาภาพลักษณ์กองทัพที่เข้มแข็งและไม่เปิดเผยข้อมูลเชิงลบ โดยเฉพาะในเรื่องโรคติดต่อที่สามารถบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของสังคมและทหารในเวลาวิกฤต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมรัฐที่ใช้การปกปิดและการเซ็นเซอร์เพื่อควบคุมการรับรู้ของประชาชนและพันธมิตรระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน RAND Corporation เน้นย้ำว่าความเครียดสะสมจากสภาพสงคราม ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในหมู่ทหาร ทั้งการใช้สารเสพติดชนิดฉีดและการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ซึ่งทำให้การแพร่ระบาดของ HIV ในกองทัพเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและควบคุมได้ยาก เนื่องจากกองทัพรัสเซียยังขาดระบบสนับสนุนสุขภาพและมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ เช่น การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอและการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตและเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ Foreign Policy ยังชี้ให้เห็นว่าในบริบทของ “สงครามข้อมูล” ฝ่ายตรงข้ามใช้ข้อมูลปัญหาการแพร่ระบาด HIV ในกองทัพรัสเซียเป็นเครื่องมือโจมตีทางการเมืองและยุทธศาสตร์ เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือและขวัญกำลังใจของกองทัพและรัฐบาลรัสเซียในเวทีโลก ทำให้ปัญหานี้กลายเป็นมากกว่าปัญหาสุขภาพ แต่เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสงครามความคิดและความชอบธรรมของรัฐ การวิเคราะห์เหล่านี้ยังเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของกองทัพสหรัฐในสงครามเวียดนามและอัฟกานิสถาน ที่เคยประสบกับปัญหาการระบาดของโรคติดต่อและพฤติกรรมเสี่ยงของกำลังพล ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการรบและการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ในระดับสูง ดังนั้น ปัญหา HIV ในกองทัพรัสเซียจึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องสุขภาพของทหารแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็น “ภัยคุกคามเชิงสุขภาวะ” ที่มีผลต่อเสถียรภาพของรัฐ ความพร้อมรบ และภาพลักษณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียในสงครามที่ซับซ้อนนี้อย่างลึกซึ้ง

ในระดับยุทธศาสตร์ ปัญหานี้สะท้อนถึงข้อจำกัดของระบบทหารรัสเซียที่มีโครงสร้างรวมศูนย์และขาดความโปร่งใส ในขณะที่รัฐพยายามแสดงภาพกองทัพที่เข้มแข็งและไม่มีจุดอ่อน แต่ความจริงภายในกลับเปิดเผยความเปราะบางที่อาจส่งผลต่อขวัญและกำลังใจของกำลังพล ตลอดจนสร้างช่องทางให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ประโยชน์ในเชิงข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) เพื่อโจมตีภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของรัฐบาลรัสเซีย ทั้งนี้การเพิกเฉยต่อปัญหาสุขภาพของทหารยังสะท้อนถึงความล้มเหลวในนโยบายรัฐที่จะจัดการกับวิกฤตสุขภาพที่เกี่ยวเนื่องกับสงคราม ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ทางการเมืองและสังคมในระยะยาว เช่น การสูญเสียฐานกำลังพล การเพิ่มขึ้นของภาระค่าใช้จ่ายสาธารณสุข และความไม่พอใจของประชาชนต่อรัฐบาล ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการระบาด HIV ในกองทัพรัสเซียจึงไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพของทหารแต่เป็นประเด็นที่เกี่ยวพันกับการรักษาความมั่นคงของรัฐในช่วงสงคราม และเป็นโจทย์ที่รัฐรัสเซียต้องเผชิญอย่างเร่งด่วนหากหวังจะรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและทหารในระยะยาว

บทสรุป สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ดำเนินมายาวนานไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความเสียหายทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างภายในของกองทัพรัสเซียที่ถูกมองข้ามอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดอย่างรวดเร็วของเชื้อ HIV ในหมู่กำลังพล ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางทางสุขภาวะและความไม่พร้อมของระบบสาธารณสุขทหารในช่วงวิกฤต แม้ว่ารัฐรัสเซียจะพยายามควบคุมข้อมูลและสร้างวาทกรรมเน้นภาพลักษณ์ความเข้มแข็งของกองทัพเพื่อปกปิดปัญหาดังกล่าว แต่รายงานจากสื่ออิสระ นักวิชาการรัสเซีย และองค์กรระหว่างประเทศชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อที่สูงกว่า 2,000% ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมเสี่ยงที่ขยายตัวในบริบทสงคราม เช่น การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดและการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อขวัญและสมรรถนะของทหารเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของรัฐในวงกว้าง สะท้อนความล้มเหลวของระบบบริหารจัดการและนโยบายที่ขาดความโปร่งใส รวมถึงเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ประโยชน์จากข้อมูลนี้ในสงครามข้อมูลเพื่อโจมตีภาพลักษณ์และความชอบธรรมของรัฐบาลรัสเซีย เหตุการณ์นี้จึงตั้งคำถามสำคัญว่า รัฐรัสเซียจะสามารถรับมือกับวิกฤตสุขภาพเชิงโครงสร้างนี้ได้อย่างไร ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามและความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความลับที่ถูกปกปิดนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน รวมถึงอนาคตของความมั่นคงชาติในระยะยาวต่อไป

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STATES TIMES

บีโอไอ เคาะมาตรการช่วยนักลงทุนย้ายฐานผลิต ยกเว้นภาษีย้ายเครื่องจักรจากกัมพูชากลับไทย

18 นาทีที่แล้ว

สภา ม.รามคำแหง มีมติเพิกถอนปริญญา ‘ฮุนเซน’ แล้ว ชี้ชัดเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐไทยสวนทางคำประกาศเกียรติคุณ

48 นาทีที่แล้ว

‘การบินไทย’ เผยไตรมาส 2/68 กำไรพุ่ง 3,862% รายได้โต – ต้นทุนลด หนุนกำไรทะลุ 12,000 ล้านบาท

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘รัฐบาลเลบานอน’ ยอมทำตามข้อตกลงของ ‘สหรัฐฯ’ เดินหน้าจำกัดอาวุธทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การควบคุมรัฐ

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

กรุงไทย ร่วมกับ AIS และ OR จัดตั้ง ‘ธนาคารคลิกซ์’ ให้บริการ Virtual Bank คาดเปิดปีหน้า

THE STANDARD

จุฬาฯ เปิดตัว ‘ER-VIPE’ นวัตกรรม VR ฝึกทีมสหวิชาชีพห้องฉุกเฉิน ยกระดับความปลอดภัยผู้ป่วย

ไทยพับลิก้า

สะท้อนปัญหาแรงงานกัมพูชาแห่กลับบ้าน

สำนักข่าวไทย Online
วิดีโอ

ป.ป.ง.สั่ง ยึดทรัพย์ 53 คดี มูลค่ากว่า 1,271 ล้านบาท คดีฉ้อโกง-ออนไลน์ หมอบุญ - ดิไอคอน โดนด้วย

BRIGHTTV.CO.TH

ปูติน ต่อสายคุย ผู้นำจีน ย้ำความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ก่อนประชุมสุดยอดกับผู้นำสหรัฐ

JS100

รวบหนุ่มมาเลย์ลวงสาวไทยหลับนอน แอบถ่ายคลิปแบล็กเมล์ อึ้งเหยื่อนับสิบ!

เดลินิวส์

ต๊ะ นารากร เผยนิสัยที่แท้จริง บุ๋ม ปนัดดา หลังนั่งตำแหน่งโฆษกจิตอาสา

News In Thailand

ราชกิจจาฯ เผยแพร่ประกาศสำนักนายกฯ นพ.สมฤกษ์ นั่งปลัดกระทรวงสธ.คนใหม่ มีผล 1 ต.ค.นี้

JS100

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...