คึกฤทธิ์ชีวิตไทย (33)
ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นมีชีวิต ต้องมีการปรับเปลี่ยน หรือ “วิวัฒน์” ไปตามสังคมรอบด้านนั้นด้วย ไม่เพียงเพื่อความยั่งยืน แต่เพื่อเป็น “คุณค่า” ที่สำคัญของสังคมนั้น ๆ
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มีเป้าหมายหนึ่งที่จะ “ด้อยค่า” สถาบันพระมหากษัตริย์ ดังที่แถลงการณ์ของคณะราษฎรฉบับแรก ที่ออกประกาศในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้กล่าวโจมตีอย่างหยาบคายต่อองค์พระมหากษัตริย์(ที่ในแถลงการณ์ใช้คำว่า “กษัตริย์” เฉย ๆ และไม่ได้ใช้ราชาศัพท์ให้เหมาะสม) รวมทั้งคิดที่กำจัดพระมหากษัตริย์เหมือนอย่างที่มีการกระทำกันในประเทศรัสเซียและเยอรมันนั้นด้วย ดังที่จะได้ยกบางถ้อยคำบางส่วน(ที่พออ่านได้)มาให้เห็น “สันดาน” ของผู้เขียนแถลงการณ์นี้
“เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชสมบัติสืบต่อจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังกันไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างและการซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ดังที่จะเห็นได้จากความตกต่ำในทางเศรษฐกิจและความฝืดเคืองในการทำมาหากินซึ่งพวกราษฎรได้รู้กันอยู่โดยทั่วไปแล้ว ….รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันเป็นสุข ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน ซึ่งชนชาตินั้นก็ได้โค่นราชบัลลังก์ลงเสียแล้ว….”
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เริ่มต้นชีวิตในวัยทำงานของท่านด้วยอาการ “ระแวงหน้า ระวังหลัง” ในตอนที่ท่านกลับมาประเทศไทยภายหลังจบการศึกษาในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ใน พ.ศ. 2476 ท่านเองก็เหมือนคนหนุ่มสาวในยุคนั้น ที่อยากจะเห็น “สังคมใหม่” โดยมีความฝันอย่างสวยงามว่าประเทศไทยภายใต้การปกครองของคณะราษฎร น่าจะแก้ไขปัญหาของระบอบเก่านั้นได้ แต่เมื่อท่านได้ทำงานในระบบราชการไปสักพัก (งานของท่านนับว่าโก้หรูและมีอนาคตไกลมาก คือเป็นเลขานุการของนายเจมส์ แบกส์เตอร์ ที่ปรึกษากระทรวงการคลังของรัฐบาลไทย) ท่านก็รู้ว่าท่านกำลังมีภัย และภัยนั้นก็เป็นภัยของประเทศชาติด้วย นั่นคือภัยที่จะเกิดขึ้นกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตัวท่านนั้นก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ก็ตกอยู่ในอันตรายที่อาจจะถูก “กำจัด” ไปด้วย อย่างน้อยฐานะตำแหน่งทางราชการก็คงจะไม่รุ่งเรืองก้าวหน้า ในที่สุดเมื่อรับราชการไปได้ประมาณ 3 - 4 ปี ท่านก็ต้องหาหนทางไปทำงานในภาคเอกชน และต้องออกไปให้ไกลพระนคร นั่นก็คือการไปทำงานที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาจังหวัดลำปาง
ชะตากรรมของคนที่มีเชื้อเจ้าหลายคนต้องเผชิญกับ “ภัยมืด” บ้างถูกยึดวัง ถูกริบราชทรัพย์และสมบัติพัสถานบ้านเรือน หลายท่านต้องไปประทับหรือ “หลบภัย” ไปยังต่างประเทศ ที่ยังต้องอยู่ก็ต้องทุกข์ยากลำบากนานา ถูกกลั่นแกล้งรังแก หาเรื่องสร้างคดีความเพื่อนำตัวเข้าคุก ที่สุดแม้แต่พระเจ้าอยู่หัวคือรัชกาลที่ 7 ก็ทรงเกินจะอดทนได้ ทรงมีแต่ทุกข์โทมนัส ทรงประชวรหลายพระโรค จำต้องไปรับการรักษาที่ต่างประเทศ แล้วก็ได้สวรรคตที่บนผืนแผ่นดินของประเทศอื่น เป็นที่น่าเศร้าใจยิ่งนัก
เมื่อตอนที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ทำงานอยู่ที่ลำปาง รัฐบาลคณะราษฎรได้ “ไล่ล่า” คนที่คิดโค่นล้มรัฐบาลในคราวที่มีกบฏบวรเดช บุคคลหนึ่งก็คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนชัยนาทนเรนทร พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 และพระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ 7 พระองค์ถูกจับกุมตัวได้ที่จังหวัดลำปาง โดยเชื่อว่าพระองค์ได้รับความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ พระองค์ถูกถอดจากพระอิสริยยศ และถูกจำขังในคุก ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ติดร่างแหไปด้วย แต่รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามก็เอาผิดอะไรท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่ได้ จนเมื่อจอมพล ป. ได้ออกจากตำแหน่งใน พ.ศ. 2487 โดยเปลี่ยนผู้นำเป็นนายควง อภัยวงศ์ จึงมีการถวายคืนพระราชฐานันดรศักดิ์ รวมถึงท่านอาจารย์ก็ได้กลับเข้ามาทำงานที่พระนคร ในธนาคารแห่งประเทศไทย อันเป็นช่วงท้าย ๆ ของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นช่วงที่คณะราษฎรแตกแยกกันและกำลังสิ้นอิทธิพล
ความทุกข์ยากของพวกเจ้าโดยเฉพาะพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ มีกล่าวไว้อย่างละเอียดในหนังสือชื่อ “เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ” เขียนโดย วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2553 พอดีกับในปีต่อมา พ.ศ. 2554 เป็นวาระครบรอบชาตกาล 100 ปีของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ซึ่งในปีนั้นท่านก็ได้รับการประกาศให้เป็น “บุคคลสำคัญของโลก” จากยูเนสโกอีกด้วย คุณวิมลพรรณ ผู้เขียนจึงต้องการสื่อให้เห็นด้วยว่า ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแนบแน่นอย่างไร ที่สำคัญก็คือเพื่อ “เชิดชูคุณค่า” ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ทุกคนเห็นว่าแม้จะ “ถูกกระทำย่ำยี” อย่างรุนแรงเพียงใด “ทองเนื้อแท้” หรือ “คุณค่าที่แท้จริง” อันหมายถึงการที่สังคมไทยจำจะต้องมีพระมหากษัตริย์อยู่คู่บ้านคู่เมืองตลอดไปนี้ คือความจริงที่มั่นคงอย่างยิ่งของสังคมไทย
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์คงจะมีความเศร้าใจต่อ “พระราชฐานะ” ของพระมหากษัตริย์อยู่มาก ดังจะเห็นจากที่ท่านได้เขียนถึงฉากเหล่านี้ไว้ในนวนิยายเรื่อง “สี่แผ่นดิน” มีบางฉากที่เล่าถึงพวกเจ้าที่ถูกนำมาขังคุก ซึ่งก็คงสะท้อนถึงเรื่องราวของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนชัยนาทนเรนทรนั้นด้วย ท่านก็เขียนได้อย่าง “สะอื้นอก” ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนมาเล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้านายหลายพระองค์ รวมถึงที่ในวังสระปทุม อันเป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 กับพระราชมารดา พระกนิษฐา และพระอนุชา ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแผ่นดินใน พ.ศ. 2477 โดยทรงมาประทับอยู่กับสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี ผู้เป็นพระอัยยิกา (ย่า) เล่ากันว่า “ทรงอัตคัดยิ่งนัก” เพราะรัฐบาลไม่ได้เหลียวแล หรือจัดงบประมาณมาให้ก็พอเป็นพิธี ไม่สมพระราชฐานะ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็ต้องซื้อหามาใช้กันเอง ไม่ได้ถวายพระเกียรติยศอะไรเลย
ความจริงพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ คือรัชกาลที่ 8 กับรัชกาลที่ 9 ทรงประสบกับความทุกข์ยากมามากพอสมควร เพราะในตอนที่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 นั้น ทั้งสองพระองค์ทรงกำพร้าพระราชบิดา และมีพระชนม์เพียง 7 และ 5 พรรษาเท่านั้น โดยประทับอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ และเพิ่งจะเข้าศึกษาในชั้นเด็กเล็ก จากที่สมเด็จกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระกนิษฐาทรงเล่าไว้ในหนังสือ “แม่เล่าให้ฟัง” ก็บอกว่าทั้งสองพระองค์ก็ไม่ใคร่แข็งแรงนัก และเมื่อรัชกาลที่ 8 ขึ้นครองราชย์ก็ทรงมีพระชนม์เพียง 9 พรรษา โดยพระราชมารดาก็ไม่ได้สบายพระทัย ทั้งยังดูเหมือนไม่อยากให้พระราชโอรสขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และยิ่งเมื่อกลับมาประเทศไทยแล้วก็มาพบกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เลวร้าย ก็ยิ่งทรงสงสารพระราชโอรส และแน่นอนว่าจะยิ่งทรงทุกข์ทรมานมากเพียงใดในตลอด 10 กว่าปีที่รัชกาลที่ 8 ได้ครองราชย์ในสภาพที่ยากลำบากทั้งกายและใจ จนกระทั่งถึงวันที่พระราชโอรสสวรรคตในสภาพที่น่าเวทนา
ผลพวงแห่งความทุกข์ยากทั้งหมดนี้อาจจะเป็น “พลังบวก” ที่นำมาซึ่ง “พระราชมานะ” ของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ต่อมา ผู้ทรงเป็น “พลังแผ่นดิน – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช” ผู้ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลับมายิ่งใหญ่ ในสภาพสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปมากมาย
อะไรคือสิ่งที่สร้างพระองค์ท่านให้เป็น “พระมิ่งขวัญของชาวไทย” มาตลอดเวลาที่ทรงครองราชย์ 70 ปีนั้น ?