EGCO ฐานบัญชาการลับจุดประกายนวัตกรรม สู่นวัตกรรุ่นใหม่
เด็กและเยาวชนคือกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตของประเทศ โดยกลไกที่จะนำพาประเทศสู่ความก้าวหน้าคือการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม เทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งต้องผนึกพลังกันอย่างเป็นระบบเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตร อาหาร อุปกรณ์เทคโนโลยี ที่อยู่อาศัย และเวชภัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อวางรากฐานความรู้และทักษะที่จำเป็นในอนาคต การส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคู่กับการปลูกฝังแรงบันดาลใจ
ด้วยเหตุนี้การจัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2568 จึงเปรียบเสมือนห้องเรียนขนาดใหญ่ที่รวบรวมองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากทั้งภาครัฐและเอกชน มาให้เยาวชนได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์อย่างใกล้ชิด หนึ่งในไฮไลท์ของงานคือบูธของ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ที่นำเสนอเรื่องราวนวัตกรรมซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาอนาคต ผ่านนิทรรศการ “นวัตกรรมวิทย์ พลิกโลก ตอน EGCO Base : Mission for Change ฐานบัญชาการลับแห่งอนาคต”
โดยนิทรรศการนี้เยาวชนที่จะได้ร่วมสนุกและเรียนรู้ด้านนวัตกรรมและวิทยาศาสตร์ตามแนวคิด “Triple R” ที่ช่วยจุดประกายแรงบันดาลใจและส่งเสริมศักยภาพของเยาวชนให้เติบโตไปเป็นพลเมืองโลก ที่สามารถพัฒนานวัตกรรมและใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ช่วยยับยั้งและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ประกอบด้วย โซนที่ 1 EGCO Base Mission ฐานลับเปลี่ยนโลก : เข้าสู่ฐานบัญชาการลับและเดินทางข้ามมิติเวลาไปถอดรหัส Triple R ผ่านภาพยนตร์ 4 มิติ
โซนที่ 2 EGCO Regenerative ภารกิจค้นหานวัตกรรม : ออกตามหานวัตกรรมที่ช่วยพลิกฟื้นโลกแบบ Regenerative จากประเทศไทยและทั่วโลก และโซนที่ 3 EGCO Act Now or Never ! เปลี่ยนโลกด้วยตัวเรา : แปลงร่างเป็นนวัตกรน้อย Re-Gen Hero ด้วยเทคโนโลยี AI พร้อมร่วมแชร์ไอเดียและนวัตกรรมเปลี่ยนโลก สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้ – 17 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00 – 19.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 5 บูธที่ 36 ไม่เสียค่าใช้จ่าย
สมเกียรติ สุทธิวานิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงิน EGCO Group กล่าวว่า EGCO Group ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพด้านพลังงาน วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการบ่มเพาะจิตสำนึกในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในกลุ่มเยาวชนมาโดยตลอด ภายใต้ความเชื่อที่ว่าต้นทางดี จะก่อกำเนิดผลลัพธ์ปลายทางที่ดี โดยได้ร่วมจัดแสดงนิทรรศการในมหกรรมวิทยาศาสตร์แห่งชาติอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่จะใช้นิทรรศการนี้เป็นเสมือนฐานบัญชาการลับแห่งอนาคต เพื่อจุดประกายแรงบันดาลใจและส่งเสริมศักยภาพของเยาวชนให้เติบโตเป็นพลเมืองโลกที่สามารถพัฒนานวัตกรรม พร้อมทั้งใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการยับยั้งและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืน
ด้านพินท์สุดา เปี่ยมปิติ ผู้จัดการส่วนกิจกรรมองค์กรและสังคม ฝ่ายสื่อสารองค์กร EGCO Group กล่าวว่า แนวคิด Regenerative หรือการฟื้นฟูและคืนความสมดุลให้โลก แม้จะเข้าใจเป้าหมายของความยั่งยืน แต่เส้นทางสู่เป้าหมายนั้นยังขาดวิธีการที่ชัดเจน ดังนั้นแนวคิด Regenerative มีแนวทางปฏิบัติที่จับต้องได้ และสอดคล้องกับหลักการของ EGCO Group ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลต้นทางของปัญหา เพราะเชื่อว่าหากต้นทางมีความแข็งแกร่งและถูกต้อง ผลลัพธ์ปลายทางก็จะดีตามไปด้วย เพื่อถ่ายทอดแนวคิดนี้ให้เยาวชนและผู้เข้าชมเข้าใจง่าย จึงได้ย่อสรุปเป็น Triple R แนวปฏิบัติ 3 ข้อหลัก ได้แก่ Refuse ปฏิเสธหรือยุติการทำลายความสมบูรณ์ทางธรรมชาติตั้งแต่ต้นทาง, Refill ฟื้นฟูและเติมความสมบูรณ์ทางธรรมชาติให้ฟื้นคืนโดยเร็ว และ Reverse สร้างผลกระทบในเชิงย้อนทางจากลบสู่บวก
พินท์สุดา กล่าวต่อว่า เนื่องจากโลกปัจจุบันอยู่ในภาวะติดลบ การปรับให้ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยอาจเพียงสร้างสมดุล แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องดีดกลับไปสู่จุดบวก เพื่อรับมือกับความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น การชะลอการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกมักมุ่งไปที่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เช่น การใช้เชื้อเพลิงทางเลือก หรือการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งถือเป็นขาหนึ่งของการแก้ปัญหา แต่อีกขาที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือการฟื้นฟูระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งสามารถช่วยคืนความเย็นให้แก่โลกได้ การดำเนินการทั้งสองด้านไปพร้อมกันจึงเป็นแนวทางที่จะรักษาสมดุลของโลกอย่างแท้จริง
ดังนั้นมนุษย์จำเป็นต้องเรียนรู้ถึงกลไกการทำงานของระบบนิเวศ เข้าใจวิถีชีวิตของสิ่งมีชีวิต และใช้วิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเชื่อมให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสอดคล้อง ไม่เพียงหลีกเลี่ยงการทำร้ายสิ่งแวดล้อม แต่ยังต้องช่วยให้ทรัพยากรฟื้นฟูได้ทันต่อการใช้งาน เพราะในยุคปัจจุบัน มนุษย์ใช้ทรัพยากรอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องเร่งกระบวนการฟื้นฟูให้ทันต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย
พินท์สุดา กล่าวว่า ภายในบูธยังได้มีการจัดแสดงภาพไอเดียนวัตกรรมของเยาวชนที่เคยเข้าร่วมงาน จำนวน 15 ชิ้น โดยได้ออกแบบเป็นแบบร่างผลงาน เช่น รองเท้าประหยัดพลังงานชาร์จแบตได้ รถมอเตอร์ไซค์พลังงานแสงอาทิตย์ ฟุตบาทเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น ที่ได้จากการรวบรวมโพสต์อิทในช่วง 4 ปีที่แล้วทั้งหมดประมาณ 1,500 ชิ้นมาเรียบเรียงและประมวลผลเป็นเล่ม ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นไอเดียนวัตกรรมทั้งหมดประมาณ 4 หมวดหมู่ สะท้อนให้เห็นความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆและวัยรุ่น เช่น การปลูกต้นไม้เพื่อฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว หรือการให้คำมั่นสัญญาในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมส่วนบุคคลเพื่อรักษ์โลก เป็นต้น
“นับเป็นความตระหนักรู้และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีภาพไอเดียนวัตกรรมจากทั่วโลกอีก 12 ชิ้น ทั้งนี้จากการแสดงไอเดียบนโพสต์อิท จึงเกิดแนวคิดที่อยากจะนำไอเดียที่ผู้เข้าร่วมงานในปีนี้ช่วยกันแชร์ รวบรวมส่งต่อไปที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะผู้กำหนดนโยบายในอนาคต เพื่ออาจจะนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมในการช่วยพัฒนาประเทศ” พินท์สุดา กล่าว
สำหรับในส่วนของภาคธุรกิจ พินท์สุดา กล่าวว่า ได้มีการดำเนินงานส่วนของความยั่งยืนเช่นกัน โดยใช้กลยุทธ์ Triple P เพื่อตอบโจทย์การเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน ในทุกมิติ รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการมุ่งบรรลุเป้าหมายเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ ทั้ง 3 ระยะ ได้แก่ เป้าหมายระยะสั้น ภายในปี 2573 เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงาน หมุนเวียนเป็น 30% ของกำลังผลิตทั้งหมด โดยขณะนี้ดำเนินการไปได้แล้ว 22%, เป้าหมายระยะกลาง ภายในปี 2583 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ประมาณ 10% และเป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2593 จะบรรลุการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ เป็นศูนย์ (Net Zero Carbon)