ตำรวจเล็งสอบ ‘วัดพระบาทน้ำพุ’ ปมทุจริต! ชี้เงินมูลนิธิเป็น ‘ช่องว่าง’ ที่ทำให้การยักยอกมีโทษเบา
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. พ.ต.อ.สุมรภูมิ ไทยเขียว รองผู้บังคับการกองปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบวัดพระบาทน้ำพุและการจัดตั้งมูลนิธิ ว่า เบื้องต้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้รับมอบหมายงานจากผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในการตรวจสอบครั้งนี้ และการตรวจสอบวัดดังกล่าวนั้น มีความเกี่ยวพันกับหลายหน่วยงาน โดย บก.ปปป. ได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบว่า จะเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าอาวาสหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน โดยตำรวจ บก.ปปป. จะนำข้อมูลการสืบสวนที่ทางกองปราบฯ ทำไว้เบื้องต้นมาวิเคราะห์ และอีกส่วนหนึ่งจะส่งเจ้าหน้าที่ไปสืบสวนเชิงลึก
เมื่อถามถึงที่ดินที่มีชื่อผู้อื่นเป็นผู้ถือครอง พ.ต.อ.สุมรภูมิ กล่าวว่า ตอนนี้เรายังไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นทางการ และตนในฐานะทีมสืบสวนยังไม่เห็นรายงานการสืบสวน คาดว่าจะได้ในเร็ว ๆ นี้ และหลังจากนี้จะบูรณาการร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติในการเข้าไปตรวจสอบ
เมื่อถามถึงเรื่องการตรวจสอบในเรื่องของมูลนิธิของวัดพระบาทน้ำพุ พ.ต.อ.สมรภูมิ กล่าวว่า หากมีมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับวัดก็พร้อมตรวจสอบทั้งหมด เพราะเป็นทรัพย์สินของวัดในส่วนที่เกี่ยวข้อง และจะตรวจสอบสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นมาก่อนหน้าแต่ยังไม่แล้วเสร็จด้วย
พ.ต.อ.สุมรภูมิ กล่าวถึง การก่อตั้งมูลนิธิที่ใช้บัญชีวัดและบัญชีที่ตั้งขึ้นมาผ่องถ่ายเงินว่า จากการสืบสวนสอบสวนมาหลายคดี เราพบว่าบางวัดมีการตั้งมูลนิธิขึ้นมาในวัดเพื่อผ่องถ่ายเงินออกไป และปกติวัดต่าง ๆ จะมีการเปิดบัญชีของวัดอยู่แล้ว โดยมีเจ้าอาวาสและไวยาวัจกร เป็นผู้ดูแล และเงินรายได้ของวัดที่นำมาใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฌาปนกิจ หรือเงินบริจาค และจำหน่ายวัตถุมงคล สามารถที่จะนำเข้าบัญชีวัดได้ และเจ้าอาวาสหรือไวยาวัจกรสามารถจัดสรรบริหารงานของวัดได้ แต่มีบางวัดที่ตั้งมูลนิธิขึ้นมาเพื่อนำเงินออกไป นี่ถือเป็นช่องว่างเนื่องจากว่าเงินที่เข้ามูลนิธิแล้วผู้บริหารมูลนิธิยักยอกเงินหรือผ่องถ่ายเงินออกไป การดำเนินคดีจะมีโทษเบา นั่นคือข้อหายักยอก และเป็นคดีที่สามารถยอมความได้
"หากพบว่าเป็นเงินวัดเลย ไม่ว่าไวยาวัจกรหรือเจ้าอาวาสนำเงินออกไป จะมีโทษหนักตาม มาตรา 147 และ มาตรา 157 ซึ่งมีโทษที่หนักกว่ายักยอก จึงเป็นช่องทางให้ผ่องถ่ายเงินไปเข้ามูลนิธิ"
พ.ต.อ.สุมรภูมิ กล่าวด้วยว่า แม้จะเป็นช่องว่าง และหากเราสอบสวนจนพบว่าเป็นเงินวัดแต่โยกออกไปเป็นเงินมูลนิธิ ก็เข้าข่ายมีความผิดเหมือนกัน แต่ความยากในการสืบสวนสอบสวน ก็จะยากขึ้น และหลายหน่วยงานที่ดูแลเรื่องมูลนิธิ เช่น กระทรวงมหาดไทย ที่เป็นผู้ดูแลการจัดตั้งและเป็นผู้ดูแลตามกฎหมาย ก็จะต้องเข้ามาดูแลในส่วนนี้เพิ่มขึ้นด้วย