ทรัมป์มั่นใจภาษีช่วยลดยอดหนี้ นักเศรษฐศาสตร์เตือนแค่ชะลอ ไม่พอแม้จ่ายดอกเบี้ย
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศมั่นใจว่า รายได้จากมาตรการภาษีศุลกากรจะสามารถนำมาใช้ลดยอดหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่สูงถึง 37 ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมกับเปิดทางให้รัฐบาลอาจพิจารณานำส่วนเกินมาจ่ายเป็น “เงินปันผล” ให้ประชาชน แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์กลับเห็นต่าง โดยชี้ว่าตัวเลขจริงนั้นยังห่างไกลจากความเป็นไปได้ เนื่องจากรายได้จากภาษีศุลกากรยังไม่เพียงพอแม้แต่จะชำระดอกเบี้ยหนี้รายเดือนของประเทศ
ข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้รวมกว่า 60.95 พันล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลหลายประเภท ขณะที่รายได้จากภาษีศุลกากรมีเพียง 29.6 พันล้านดอลลาร์ แม้ถือว่ามีมูลค่าสูง แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะครอบคลุมภาระดอกเบี้ยได้ทั้งหมด
ทำเนียบขาวชี้ว่ามาตรการภาษีศุลกากรถือเป็นหนึ่งในนโยบาย “โปร-การเติบโต” ที่ช่วยลดสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจากระดับ 121% ลงมาได้ พร้อมเสริมด้วยมาตรการลดกฎระเบียบภาครัฐและข้อตกลงทางการค้าใหม่ ๆ แต่ฝ่ายวิชาการยังคงกังขา โดยศาสตราจารย์โจอาโอ โกเมส จาก Wharton มองว่า รายได้จากภาษีอาจช่วยชะลอการขยายตัวของหนี้ แต่ไม่ถึงขั้นทำให้ยอดหนี้ลดลงในเชิงปริมาณจริง ๆ
ดร.เดสมอนด์ ลาชแมน จากสถาบัน American Enterprise Institute เสริมว่า แม้จะเก็บภาษีได้ปีละราว 300,000 ล้านดอลลาร์ ก็ยังถือว่าเป็น “หยดน้ำในมหาสมุทร” เมื่อเทียบกับวิถีหนี้ที่อันตรายของสหรัฐฯ ซึ่งยังต้องกู้ใหม่สุทธิปีละกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากเสียงวิพากษ์จากนักเศรษฐศาสตร์แล้ว ภาคธุรกิจการเงินก็ตั้งคำถามต่อทิศทางหนี้สาธารณะ เจมี ไดมอน ซีอีโอ JPMorgan Chase เคยเตือนว่าสหรัฐฯ กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ “วิกฤตที่มองเห็นได้ล่วงหน้า” ขณะที่เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดก็ออกโรงเรียกร้องให้มี “การสนทนาอย่างจริงจัง” เกี่ยวกับหนี้
กระนั้น ตลาดการเงินกลับยังไม่แสดงสัญญาณตื่นตระหนกมากนัก ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีและ 30 ปี ยังคงทรงตัวใกล้ระดับเดิมในช่วงสองปีที่ผ่านมา ขณะที่บางนักวิเคราะห์อย่างศาสตราจารย์โกเมสมองว่า แม้วิธีของทรัมป์จะไม่ใช่แนวทางที่สวยงาม แต่รัฐบาลก็ยังหาช่องทางเก็บรายได้พิเศษ เช่น กรณี Nvidia ที่ต้องจ่ายภาษีส่งออกไปจีน ซึ่งอาจช่วยเพิ่มรายได้รัฐได้จริง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นใหญ่คือ รายได้ภาษีเหล่านี้อาจเพียง “ชะลอ” ความเร็วในการก่อหนี้ แต่ไม่สามารถ “ลดยอดหนี้” ได้จริงในเชิงโครงสร้าง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติซึ่งถือหนี้สหรัฐฯ ราว 26% จะยังเป็นตัวชี้วัดสำคัญ หากความเชื่อมั่นสั่นคลอน อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนเข้าสู่วิกฤตการคลังได้ในอนาคต
ในอีกด้าน หน่วยงานอย่าง The Conference Board ย้ำชัดว่า “วิกฤตหนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว” พร้อมเสนอโรดแมปหกขั้นตอนเพื่อดึงสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีลงเหลือ 70% ใน 20 ปีข้างหน้า ตั้งแต่การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมสองพรรคเพื่อความรับผิดชอบการคลัง การปฏิรูประบบภาษี ไปจนถึงการปรับปรุงกองทุนประกันสังคม
สุดท้าย แม้ทรัมป์จะยืนยันว่าภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่เสียงสะท้อนจากทั้งนักเศรษฐศาสตร์และผู้เล่นในตลาดบ่งชี้ตรงกันว่า “คณิตศาสตร์ของทรัมป์ยังไม่ลงตัว” และภาระหนี้มหาศาลของสหรัฐฯ ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ไม่สามารถแก้ได้ง่าย ๆ ด้วยภาษีเพียงอย่างเดียว