“ศบ.ทก.” ยัน “ สหรัฐฯ -จีน - มาเลเซีย” ให้คำมั่น ไม่แทรกแซงปัญหาไทย-กัมพูชา
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมแถลงผลการประชุมของคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา (ศบ.ทก.) ภายหลังการลงนามในข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์ชายแดนที่ผ่านมาเราได้มีการตรวจพบว่าทางฝ่ายกัมพูชามีการตรึงกำลังในพื้นที่ชายแดนที่สำคัญ พร้อมมีการเคลื่อนไหวยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะในบางพื้นที่ ซึ่งฝ่ายไทยจะต้องตรวจตราและติดตามอย่างใกล้ชิด นอกเหนือจากนั้นยังมีการตรวจพบการบินของอากาศยานไร้คนขับหรือโดรนในบางพื้นที่ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้เป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายเชิงยั่วยุบางจุด ซึ่งฝ่ายทหารเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจได้ดำเนินการตามมาตรการตอบสนอง และควบคุมสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มการเฝ้าตรวจตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันในพื้นที่เสี่ยงโดยเฉพาะ
ทั้งนี้ พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า อยากให้ประชาชนทราบผลของการประชุม GBC หรือคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา เมื่อวานนี้ (8 ส.ค. 68) ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเราได้มีการลงนามร่วมกันจากประธาน 3 ฝ่าย โดยมีประเด็นหลัก ๆ ทั้งหมด 13 ข้อ ถือเป็นข้อที่สำคัญมากและมีประโยชน์ยิ่งต่อการแก้ไขสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า มีการประเมินหลัก ๆ ซึ่งทางฝ่ายไทยได้ประเมินไว้คร่าว ๆ ว่าการประชุมที่ผ่านมาถือว่าเราได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะหลายข้อนั้นเป็นหลายประเด็นที่ฝ่ายไทยได้ยืนยัน และพยายามผลักดันขับเคลื่อนมาโดยตลอด ซึ่งหลัก ๆ เราได้เจรจา และเห็นพ้องต้องกันในเรื่องของการหยุดยิง ซึ่งประชาชนจะได้รับประโยชน์เต็ม เพราะการเจรจาหยุดยิงนั้นจะสร้างความปลอดภัย สร้างความสันติสุขให้แก่พื้นที่ แน่นอนว่าประชาชนในพื้นที่เป็นผู้ที่รับผลกระทบมากที่สุด โดยจะสามารถกลับไปภูมิลำเนา และใช้ชีวิตปกติต่อไปได้
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวต่อว่า จากการประชุม GBC สามารถแบ่งการประเมินออกเป็น 3 ระดับ คือ ในเรื่องของการหารือของฝ่ายเลขา GBC ทั้งสองประเทศ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในการเจรจา และบรรลุข้อตกลงทุกข้อตามที่ทั้งสองฝ่ายต้องการ อีกระดับหนึ่งคือในระดับของการประชุม GBC ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะทั้ง 2 ฝ่าย ได้ร่วมลงนามในข้อตกลง 13 ข้อดังกล่าว ส่วนระดับที่สามนั้นเป็นระดับที่เราต้องติดตามดูกันต่อไปถึงการปฏิบัติตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่าเราวิงวอน และภาวนาว่าฝ่ายกัมพูชาจะแสดงความจริงใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงต่าง ๆ เหล่านี้
อย่างไรก็ตาม พล.ร.ต.สุรสันต์ ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของด้านความมั่นคงจากการที่ได้ไปเยือนประเทศมาเลเซียเมื่อวานนี้ (7 ส.ค. 68) นั้นประธานของฝ่ายไทยได้มีการไปพบปะหารือกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียก็ได้รับการยืนยันว่าบทบาทของมาเลเซีย และประเทศกลุ่มสมาชิกอาเซียนเห็นพ้องต้องกันว่า บทบาทของประเทศเหล่านี้จะดำรงบทบาทเฉพาะเป็นผู้สังเกตการณ์ โดยกลไกการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชายังคงให้ไทย และกัมพูชาดำเนินการเพียง 2 ฝ่ายเท่านั้น ในลักษณะของการพูดคุยทวิภาคี ส่วนบทบาทของสหรัฐ และจีนนั้นก็จะดำรงเป็นผู้สังเกตการณ์เช่นเดียวกัน โดยพร้อมที่จะให้การสนับสนุนทั้งสองฝ่าย เพื่อการเจรจาตามข้อตกลงหยุดยิงนั้นประสบความสำเร็จบรรลุตามเป้าหมายของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งภาวนาว่าจะเห็นการแก้ไขปัญหาของความขัดแย้งนั้นได้อย่างยั่งยืน
ด้าน นางมาระตี กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (7 ส.ค.68) เวลา 18.00-20.00 น. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมออนไลน์กับเอกอัครราชทูต และเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลกเกี่ยวกับสถานการณ์ไทยกัมพูชา โดย นายเอกสิริ ปิณฑะรุจิ นายปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และผู้บริหารของกระทรวงการต่างประเทศทุกคนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
นางมาระตี กล่าวต่อว่า โดยการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญมากคือเพื่อให้ท่านทูต และกงสุลใหญ่ และข้าราชการทั่วโลกได้รับรับทราบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา เพื่อที่จะนำมาชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับท่าทีไทย เพื่อรักษาผลประโยชน์ของไทยอย่างเต็มที่กับทุกกรอบ องค์กร และทุกฝ่ายที่ติดตามสถานการณ์อยู่ในต่างประเทศ และให้การชี้แจงของการทูตทั้งหลายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ซึ่งพัฒนาการสำคัญคือผลการประชุมของ GBC ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (7 ส.ค.68) ที่มาเลเซีย และรับทราบรายละเอียดที่เกี่ยวข้องสำคัญ
นางมาระตี กล่าวต่ออีกว่า ซึ่งมีรายละเอียดในขณะนี้ที่อาจจะมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเล็กน้อยในพื้นที่สื่อเกี่ยวกับเรื่องคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) ที่จะลงพื้นที่สังเกตการณ์ตามข้อตกลงหยุดยิงของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย เห็นชอบด้วยแล้วตั้งแต่การประชุมของวันที่ 28 ก.ค. 68 ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อวานนี้ (7 ส.ค. 68) ก็เป็นที่เห็นชอบชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่สามารถปฏิบัติตาม และทำได้เลยทันที โดยมีความเหมาะสมกับกรอบทวิภาคีที่ประเทศไทยกำลังใช้ในการแก้ไขปัญหาประเด็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ในขณะที่ทีมติดตามรายงาน ไม่สามารถทำได้ในทันที และอาจจะเกี่ยวข้องกับฝ่ายอื่น ๆ มากกว่า ซึ่งจะเป็นเรื่องของความเหมาะสม และระยะเวลาที่จะใช้ในการจัดตั้ง และขอย้ำว่าคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) เป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันในขณะนี้
นอกจากนี้ นางมาระตี กล่าวว่า ในภาพรวมนายมาริษได้มีการแจ้งกับทูตทุกคนได้ทราบเกี่ยวกับการประชุม GBC ว่ามีผลที่น่าพอใจ ซึ่งเป็นไปตามท่าที และแนวทางที่ไทยได้ยึดมั่นมาโดยตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ประชาคมโลกได้รับทราบ รวมถึงนายมาริษได้ชี้แจงกับบทูตทั้งหลายให้สะท้อนกับประชาคมโลกในการเจรจามาโดยตลอด และการเดินหน้าต่อไป ไทยจะยึดมั่นในข้อเท็จจริงตามกฎหมายความจริงใจ และสุจริตใจเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยเร็ว ซึ่งจะยังคงรักษาอธิปไตย และยึดประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง โดยนายเอกสิริ มีการให้การบ้านกับทูตทุกคนทั้งในภาพรวม และตามภารกิจของสำนักงานที่อาจจะแตกต่างกันไป ให้ติดตาม และประเมินระดับความเข้าใจของนานาประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ในขณะนี้ และมุมมองต่อประเทศไทยด้วย
สำหรับสถานทูต และผู้แทนถาวรต่าง ๆ ก็ได้รายงานเช่นกันในที่ประชุมออนไลน์เมื่อวันที่ (7 ส.ค. 68) เกี่ยวกับภารกิจของตนเองที่กำลังหารืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ประชุมได้รับการรายงานดังนี้ จากกลุ่มสำนักงานต่าง ๆ ทั่วไปได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแก่ประเทศเพื่อนบ้าน และเขตอาณาต่าง ๆ ได้มีการเข้าพบ และให้สัมภาษณ์ทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนท้องถิ่นสำหรับสำนักงานของประเทศไทยที่เป็นคณะผู้แทนถาวรที่ประจำองค์การระหว่างถาวรได้เป็นการชี้แจงที่ประชุมทราบในเรื่องของการติดตามความเคลื่อนไหวความคืบหน้าในองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ
“ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าหน่วยงานทีมไทยแลนด์ทุกหน่วยงาน กำลังทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อสื่อสารกับประชาคมโลก โดยเฉพาะในเรื่องจังหวะสำคัญนี้ เพื่อเน้นย้ำจุดยืนของไทยที่ต้องการที่จะแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคี และยังคงเดินหน้าปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด”นางมาระตี กล่าว
ทั้งนี้ นางมาระตี ย้ำว่า สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ในขณะนี้เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลของทั้ง 2 ฝ่ายไม่ใช่เรื่องของประชาชนของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งจากผลการประชุม GBC ที่ผ่าน มาสะท้อนถึงความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี และขอให้เป็นแบบนั้นจริง ๆ จึงขอให้ประชาชนรักษาความสัมพันธ์ที่ดีของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาได้กลับบ้านได้เร็ว และให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ