COM7 รุก Taxi EV เป้า1หมื่นคัน หนุนเป้ารายได้ทะลุ 8 หมื่นลบ.
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 20 สิงหาคม 2568 เวลา 0.18 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - COM7 มองครึ่งปีหลังสดใส หลังประกาศผลงานไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรกปี 2568 ไปได้สวย เติบโตทั้งรายได้-กำไรสุทธิ-กำไรขั้นต้น ย้ำจุดยืนการเป็นผู้นำค้าปลีกสินค้าเทคโนโลยีที่สามารถปรับตัวรองรับความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สะท้อนจากยอดขายสาขาเดิมที่เติบโต พร้อมเดินหน้าลุยขยายธุรกิจใหม่รับเมกะเทรนด์ ทั้ง TAXI EV, Solar, Cloud, Digital Finance และ Insurance เต็มรูปแบบ มุ่งมั่นรายได้และกำไร ทำสถิติ All Time High
นายถกล นิยมไทย นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 เปิดเผยผลประกอบการ ไตรมาส 2/2568 COM7 มีกำไรสุทธิของบริษัทใหญ่ 1,003.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250.2 ล้านบาท หรือ 33.2% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน สำหรับรายได้จากการขายและการบริการ 20,713.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,327.9 ล้านบาท หรือ 12.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีที่ยังมีความต้องการสูงในตลาด สะท้อนผ่านอัตราการเติบโตจากยอดขายร้านเดิม (SSSG) อีกทั้งบริษัทสามารถปรับตัวรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว โดยจัดหาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งแง่คุณภาพ ราคา และช่องทางการเข้าถึง ขณะที่กำไรขั้นต้นมีการปรับขึ้นเช่นกัน อยู่ที่ 2,861.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 283.7 ล้านบาท หรือ 11.0% จากงวดเดียวกันปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นต่อรายได้ระดับใกล้เคียงช่วงเดียวกันปีก่อนที่ระดับ 13.8%
สำหรับงวด 6 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิของบริษัทใหญ่ 1,983.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 399.8 ล้านบาท หรือ 25.2% สำหรับรายได้จากการขายและการบริการ 41,608.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,994.6 ล้านบาท หรือ 10.6 % เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งกำไรขั้นต้นก็มีการปรับขึ้นเช่นกัน 5,715.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 675.0 ล้านบาท หรือ 13.4%
“ไตรมาส 2 และช่วงครึ่งปีแรก 2568 บริษัทสามารถรักษาการเติบโตของรายได้ กำไรสุทธิ และกำไรขั้นต้นได้อย่างแข็งแกร่ง แม้ต้องเผชิญกับความผันผวนจากภาพรวมเศรษฐกิจ ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทได้ประเมินผลกระทบอย่างรอบด้านแล้ว และมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนสินค้า เนื่องจากสินค้ากว่า 90% นำเข้าจากประเทศจีน
นอกจากนี้ แม้อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐมีความผันผวนสูง แต่ผลกระทบต่อต้นทุนการนำเข้ายังคงจำกัด เพราะบริษัทนำเข้าโดยอ้างอิงในระดับราคาดอลลาร์ที่ต่ำ อีกทั้งยังใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายถกล กล่าว
ในส่วนของสาขา บริษัทมุ่งบริหารช่องทางการจำหน่ายอย่างรอบคอบ โดยไตรมาส 2 มีสาขาเพิ่มเป็น 1,320 สาขา โดยเน้นไปที่ร้าน Studio7 และ BaNANA ตามกลยุทธ์ระยะยาวในการเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์และขยายการเข้าถึงลูกค้า ขณะเดียวกันได้ปิดสาขาที่มียอดขายเฉลี่ยต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปแบบฝากขายหรือร่วมจำหน่ายกับพันธมิตร เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีกให้ครบ 1,400 สาขาภายในสิ้นปี
ด้านบริษัทย่อยและบริษัทร่วมยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะธุรกิจรถแท็กซี่ไฟฟ้า (Taxi EV) ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท อีวีเซเว่น จำกัด (EV7) ซึ่งตั้งเป้าส่งมอบแท็กซี่ไฟฟ้า 3,000 คันในปี 2568 และ 7,000 คันในปี 2569 รวมเป็น 10,000 คันภายในสิ้นปี 2569 เพื่อตอบรับทั้งความต้องการแท็กซี่ทดแทนจากรถรุ่นเดิม และนโยบายรัฐที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ได้ส่งมอบแล้วกว่า 835 คัน และเตรียมส่งมอบเพิ่มเติมอีก 190 คันในเดือนสิงหาคม ภายใต้โมเดลการให้บริการที่หลากหลาย ควบคู่กับการขยาย EV Charger Station ในทำเลศักยภาพเพื่อสร้างระบบนิเวศรองรับการเติบโตในระยะยาว
ขณะเดียวกัน ตลาด Solar Rooftop ยังคงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่บริษัทให้ความสำคัญ แม้ยอดขายในครึ่งปีแรกนี้จะชะลอตัวจากปัจจัยฤดูกาล แต่ด้วยนโยบายภาครัฐที่สนับสนุน บวกกับกลยุทธ์ขยายตลาดและเสริมทัพทีมวิศวกรเพื่อให้บริการแบบครบวงจรทั่วประเทศ จะช่วยหนุนความต้องการในตลาดนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายกชกร บูรณวุฒิกุล ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการเงิน COM7 กล่าวถึง บริษัทย่อยและบริษัทร่วมก็มีผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจเช่าซื้อภายใต้ บริษัท ธันเดอร์ฟินฟิน จำกัด หรือสินเชื่อ UFUND ยังคงขยายตัวโดดเด่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินที่ยืดหยุ่น โดย ณ สิ้นมิถุนายน 2568 มียอดพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อกว่า 3,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2567 ที่ระดับ 2,477 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นปีนี้จะขยายตัวแตะ 4,500 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนมาจากการขยายฐานกลุ่มลูกค้าผลิตภัณฑ์ Smartphone ระบบ Android จากเดิมที่มีเพียง iOS ขณะเดียวกัน UFUND ยังคงรักษานโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างรัดกุม ทำให้ NPL อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.16% จากเป้าที่ไม่เกิน 3% สนับสนุนความสามารถทำกำไรที่ยั่งยืน โดยปัจจุบันให้บริการผ่านเครือข่ายกว่า 700 สาขาทั่วประเทศ และเตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่กว่า 7,000 สาขาภายในครึ่งปีแรก 2569 เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ด้านธุรกิจประกันภัยภายใต้ บริษัท ไอแคร์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ iCARE ยังคงรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรก 2568 มีรายได้รวม 324 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 54 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ 143 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 15 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่มโทรศัพท์มือถือที่ยังขยายตัวดี รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ประกัน COVER+ สำหรับผลิตภัณฑ์ iPhone ครอบคลุมการรับประกันสินค้าของ Apple พร้อมสิทธิพิเศษ อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้ที่ร้าน Apple ทั่วโลก นับเป็นจุดขายที่ช่วยผลักดันการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และยังเตรียมต่อยอดไปยังกลุ่มพาร์ทเนอร์และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อขยายตลาดในอนาคต
อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทฯ ยังคงมั่นใจว่าจะสามารถขับเคลื่อนผลการดำเนินงานให้เติบโตต่อเนื่อง พร้อมสร้างสถิติ All Time High ได้อีกครั้งทั้งในด้านรายได้และกำไร โดยยังคงเป้าหมายรายได้ทะลุ 80,000 ล้านบาท จากแรงหนุนของธุรกิจหลักด้านสินค้าเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุด และผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีรุ่นใหม่ๆ ควบคู่กับการต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ตามเมกะเทรนด์ที่มีศักยภาพเติบโตสูง ขณะเดียวกัน บริษัทได้ตัดสินใจยุติธุรกิจที่ไม่สร้างกำไรอย่าง Pet Paw ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อมุ่งโฟกัสเฉพาะธุรกิจที่สร้างคุณค่าและการเติบโตอย่างแท้จริง