สลค.หวั่น แจกเงินไร่ละพันอุ้มข้าวนาปรัง สร้างภาระการคลัง ทำชาวนาเสียนิสัย
กรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 มีมติเห็นชอบโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังปี 2568 และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 หรือ เงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท วงเงินรวมกว่า 45,204 ล้านบาท แยกเป็น 2 โครงการ คือ
- โครงการฯ นาปรัง ปี 2568 วงเงิน 7,286 ล้านบาท
- โครงการฯ นาปี ปีการผลิต 2568/69 วงเงิน 37,917 ล้านบาท
ล่าสุดแหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการเงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ โดยมีข้อสังเกตและมีความเห็นว่า ที่ผ่านมาครม.ยังไม่เคยให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังในลักษณะนี้มาก่อน
การดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม และขาดแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกข้าวนาปรัง ไปสู่การปลูกพืชหลังนาชนิดอื่น ๆ ที่มีความเหมาะสมมากกว่า
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินนโยบายด้านการเกษตรของภาครัฐเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีความยั่งยืนในระยะยาว จึงเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาจัดทำมาตรการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม เพื่อนำไปสู่การปลูกพืชหลังนาที่ใช้น้ำน้อยเพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ลดปัญหาด้านการขาดแคลนน้ำ และปัญหาดินเสื่อมโทรม ควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการต่อไป
ขณะเดียวกันการดำเนินโครงการครั้งนี้ ได้มีการขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติครม. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 เรื่อง การจัดทำมาตรการ/โครงการเพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และเป็นเรื่องที่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินนอกเหนือจากที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว ตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
ประกอบกับกระทรวงเกษตรฯ แจ้งว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังให้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ดังนั้น จึงเห็นควรนำเรื่องนี้เสนอครม.พิจารณา ซึ่ง สลค. ขอให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ทำความเห็นมาเพื่อประกอบการพิจารณาของครม.ในเรื่องนี้ด้วย
พร้อมกันนี้ สลค.ยังขอให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เสนอความเห็นที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาของครม. รวมทั้งขอให้กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ เสนอความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ด้วย
ส่วนกรณีภาระทางการคลังที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าว ซึ่งใช้เงินงบประมาณกว่า 45,204 ล้านบาทนั้น ที่ประชุมครม.ขอให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 คืนให้กับ ธ.ก.ส. เต็มจำนวน
พร้อมทั้งให้นำค่าใช้จ่ายที่ถูกปรับลดจากที่ธนาคารเสนอเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อบวกกลับเป็นรายได้ทางบัญชีสำหรับการคำนวณการจัดสรรกำไรสุทธิ และแยกบัญชีการดำเนินงานตามโครงการนี้ออกจากการดำเนินงานปกติภายใต้ระบบบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) ต่อไป