ประเด็นสำคัญจากงานเปิดตัวผลการศึกษาเชิงลึก (Whitepaper) ในหัวข้อ “Going Beyond สร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับสัตวแพทย์ในประเทศไทย” โดย เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์
การศึกษาเชิงลึกครั้งนี้จัดทำขึ้นโดย เบอริงเกอร์อินเกลไฮม์ แอนิมอลเฮลท์ หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านสุขภาพสัตว์ร่วมกับTAGR บริษัทวิจัยระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและความท้าทายที่สัตวแพทย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านการปฏิบัติงาน ภาระทางการเงิน สุขภาพจิตใจ และความเข้าใจจากสังคม งานวิจัยยังมุ่งสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าและบทบาทที่สำคัญของวิชาชีพนี้ ทั้งในมิติการรักษาสัตว์เลี้ยง การสนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร และการปกป้องสุขภาพของคนและชุมชน
การศึกษาครั้งนี้ยังเป็นการเชิญชวนให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และสมาคมวิชาชีพ เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและสนับสนุนสัตวแพทย์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ข้อมูลที่ได้มาจากผู้ตอบแบบสอบถาม335 คน ซึ่งประกอบด้วยสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่คลินิกสัตว์จาก6 ประเทศในภูมิภาค ถือเป็นฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ที่สะท้อนเสียงของวิชาชีพอย่างแท้จริง
[ ความท้าทายสำคัญที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ]
จากผลการศึกษาพบว่า สัตวแพทย์ในภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ3 ประการ ดังนี้:
- การขาดความเข้าใจและการยอมรับจากสาธารณะสัตวแพทย์มักถูกมองว่าเป็นเพียง“หมอรักษาหมาแมว” ขณะที่บทบาทอื่น ๆ ที่มีความสำคัญยิ่ง เช่น การดูแลด้านสาธารณสุข การควบคุมโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน รวมถึงการจัดการด้านความมั่นคงทางอาหาร กลับถูกมองข้ามไป การขาดการยอมรับนี้ไม่เพียงส่งผลต่อกำลังใจของสัตวแพทย์ แต่ยังสะท้อนถึงการขาดการสนับสนุนด้านนโยบายและเงินทุนจากสังคม
[ * **แรงกดดันด้านการดำเนินงานและการเงิน**ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ค่าเครื่องมือทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น และข้อจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากร ถือเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มีระบบประกันสุขภาพสัตว์เลี้ยงที่ครอบคลุม คลินิกและโรงพยาบาลสัตว์ต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการให้บริการที่ได้มาตรฐานกับราคาที่ลูกค้าสามารถยอมรับได้ , * **การสนับสนุนด้านสวัสดิการและสุขภาวะที่ยังไม่เพียงพอ**ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน การเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และภาระงานที่มีความกดดันสูง ทำให้สัตวแพทย์จำนวนมากเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟและความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ โดยปัญหานี้ยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อขาดระบบสนับสนุนด้านสุขภาพจิตและสวัสดิการที่เหมาะสม ส่งผลให้สัตวแพทย์บางส่วนตัดสินใจลาออกจากวิชาชีพหรือเลือกไปทำงานในต่างประเทศ ]
[ ผลการศึกษาที่สำคัญเฉพาะสำหรับประเทศไทย ]
แม้ปัญหาหลักของสัตวแพทย์ไทยจะสอดคล้องกับแนวโน้มในภูมิภาค แต่ก็มีรายละเอียดที่ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายเฉพาะตัว ดังนี้:
1. ความกดดันด้านการเงินและความไม่เข้าใจจากลูกค้า
สัตวแพทย์ไทยกำลังเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากค่าเครื่องมือทางการแพทย์และค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน ขณะเดียวกัน42% ของผู้ตอบแบบสอบถามรายงานว่าจำนวนลูกค้ามีแนวโน้มลดลง ความไม่เข้าใจของลูกค้าเกี่ยวกับคุณค่าและความซับซ้อนของบริการด้านสุขภาพสัตว์เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความตึงเครียด โดยสัตวแพทย์จำนวนมากสะท้อนว่าลูกค้ายังมองค่าบริการสูงเกินไป โดยไม่เห็นต้นทุนที่แท้จริงของการรักษา
- 70% ของสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่คลินิกประสบปัญหาจากความรู้ที่จำกัดของลูกค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพสัตว์
[ * 74% ระบุว่าการได้รับการยอมรับในเรื่องค่าบริการจากลูกค้าเป็นความท้าทายอันดับต้น ๆ ที่ต้องเผชิญ ]
2. ความเครียดภาวะหมดไฟและความเหนื่อยล้าทางใจ
ภาระงานที่ยาวนาน ทั้งเวรกลางคืน การดูแลฉุกเฉิน และการทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำให้การรักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวแทบเป็นไปไม่ได้ สัตวแพทย์ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากเจ้าของสัตว์ที่มาพร้อมความคาดหวังสูง รวมถึงประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ยากลำบากในการดูแลชีวิตสัตว์
- มีเพียง16% ที่รู้สึกว่าได้รับความเข้าใจจากสาธารณชนอย่างแท้จริง
[ * 58% ของสัตวแพทย์ในประเทศไทยทำงานมากกว่า50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่ทำการสำรวจ , * 64% ต้องการให้ลูกค้าเข้าใจงานของพวกเขามากขึ้นเพื่อช่วยลดความเครียด , * 58% ต้องการการปฏิบัติที่ดีกว่าจากลูกค้า , * 42% ต้องการชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ]
[ ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตวแพทย์ไทย ]
จากผลการศึกษาเชิงลึกฉบับนี้ ได้สรุปข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและการยอมรับวิชาชีพสัตวแพทย์ พร้อมสร้างเครือข่ายสนับสนุนที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ดังนี้
- การศึกษาและสร้างความตระหนักรู้ในสาธารณะ– จัดแคมเปญเฉพาะกลุ่มผ่านสื่อสาธารณะและกิจกรรมของสถาบันการศึกษา เพื่อเพิ่มความเข้าใจของสาธารณชนต่อบทบาทของสัตวแพทย์
[ * **การรักษาและพัฒนาบุคลากรสัตวแพทย์**– สนับสนุนค่าตอบแทน ผลประโยชน์ และเส้นทางการพัฒนาวิชาชีพที่ชัดเจน เพื่อดึงดูดและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากร , * **การสนับสนุนด้านสุขภาวะ**– ให้สัตวแพทย์เข้าถึงบริการให้คำปรึกษา กลุ่มสนับสนุนเพื่อนร่วมอาชีพ และการฝึกอบรมสำหรับคลินิกสัตวแพทย์ด้านสุขภาพจิตและการจัดการความเครียด , * **ด้านนโยบายและการส่งเสริมกฎหมาย**– ร่วมมือกับรัฐบาลและองค์กรสัตวแพทย์เพื่อผลักดันโครงการ เช่น ประกันสัตว์เลี้ยงและการขยายบริการดูแลป้องกัน , * **การยกย่องด้านวิชาชีพ**– จัดตั้งรางวัลและโครงการยกย่องเพื่อเชิดชูผลงานของสัตวแพทย์ และสร้างการรับรู้ในวงกว้าง , * **การเสริมสร้างเครือข่ายวิชาชีพ**– ส่งเสริมความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างสมาคมสัตวแพทย์ รัฐบาล และบริษัทเอกชน เพื่อเพิ่มเสียงสะท้อนของวิชาชีพให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ]
[ สรุปประเด็นจากการเสวนา ]
ในงานเปิดตัวผลการศึกษาเชิงลึก ยังได้มีการจัดเสวนาเพื่อระดมความคิดเห็นจากสัตวแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งร่วมกันแบ่งปันมุมมองและข้อเสนอแนะในการยกระดับวิชาชีพให้มีความยั่งยืน ประกอบด้วย
- รศ.สพ.ญ.ดร.จารุวรรณ คำพา– เลขาธิการสัตวแพทยสภา
[ * ผศ.น.สพ.ภูดิทมณีสาย– นายกสมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย , * ผศ.น.สพ.รุ่งโรจน์ โอสถานนท์– อดีตประธานคณะผู้บริหารวิทยาลัยวิชาชีพการสัตวแพทย์ชำนาญการแห่งประเทศไทย , * อ.น.สพ.ชัยยศธารรัตนะ– ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ, คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , * สพ.ญ.ดร.เมตตา เมฆานนท์– นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย , * สพ.ญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล– ประธานชมรมสถานพยาบาลสัตว์แห่งประเทศไทย ]
โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
Q1: สัตวแพทย์ไทยมีชั่วโมงการทำงานมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวทางใดที่ช่วยลดภาระงานและปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้บ้าง?
- รศ.สพ.ญ.ดร.จารุวรรณคำพา(เลขาธิการสัตวแพทยสภา) เปิดประเด็นว่า“เมื่อมองจากประกาศรับสมัครงานในตลาดแรงงาน เราพบการระบุชั่วโมงทำงานตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสามทุ่ม ซึ่งหมายความว่าสัตวแพทย์ไทยต้องทำงานไม่ต่ำกว่า12 ชั่วโมงต่อวัน สิ่งนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานสัตวแพทย์ที่เรื้อรังมานาน” เธอชี้ให้เห็นว่าตั้งแต่ปี2565 สัตวแพทยสภาได้ออกเกณฑ์มาตรฐานการทำงาน40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อเป็นแนวปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับว่าการนำไปใช้จริงยังไม่ทั่วถึงและต้องอาศัยความร่วมมือของสถานประกอบการ
[ * **อ****.****น****.****สพ****.****ชัยยศ****ธารรัตนะ****\(****ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ****,** **คณะสัตวแพทยศาสตร์****จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย****\)** กล่าวเสริมว่า ที่โรงพยาบาลสัตว์จุฬาฯ ได้เริ่มนำเกณฑ์นี้มาปรับใช้แล้ว โดยเฉพาะกับสัตวแพทย์รุ่นใหม่ แต่ความท้าทายยังอยู่ที่ปริมาณงานและจำนวนบุคลากรที่ไม่สมดุลกับความต้องการ ถึงจะมีมาตรฐาน40 ชั่วโมง แต่เมื่อเจอเคสฉุกเฉิน หรือความต้องการของเจ้าของสัตว์ที่คาดหวังการรักษาตลอดเวลา ก็ทำให้หมอต้องยืดหยุ่นเกินกรอบอยู่ดี , * **สพ****.****ญ****.****กฤติกา****ชัยสุพัฒนากุล****\(****ประธานชมรมสถานพยาบาลสัตว์แห่งประเทศไทย****\)** เห็นว่า ชั่วโมงทำงาน40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นมาตรฐานที่เหมาะสมและควรเดินหน้า แต่สิ่งสำคัญคือการสร้าง“วัฒนธรรมองค์กร” ที่เข้าใจความสมดุลของบุคลากร เธอกล่าวว่า“นายจ้างต้องตระหนักว่าการทำงานเกินกำลัง ไม่เพียงทำให้สัตวแพทย์เสี่ยงหมดไฟ แต่ยังสะท้อนต่อคุณภาพการดูแลสัตว์ที่อาจลดลงด้วย” ]
Q2: ความเครียดจากการทำงานของสัตวแพทย์เกิดจากปัจจัยใดและมีแนวทางใดที่จะช่วยได้บ้าง?
ผศ.น.สพ.รุ่งโรจน์โอสถานนท์(อดีตประธานคณะผู้บริหารวิทยาลัยวิชาชีพการสัตวแพทย์ชำนาญการแห่งประเทศไทย) ระบุว่าความเครียดของสัตวแพทย์เกิดจาก3 ปัจจัยหลักคือ สภาพแวดล้อมการทำงานและความสัมพันธ์ในที่ทำงาน หากขาดระบบสนับสนุนหรือต้องทำงานกับทีมที่กดดันย่อมส่งผลต่อสุขภาพจิตความคาดหวังของเจ้าของสัตว์ที่มักสูงเกินจริง แต่ข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่ายกลับสวนทาง และแรงกดดันภายในตัวสัตวแพทย์เอง ซึ่งมักตั้งมาตรฐานกับตัวเองสูง เมื่อเกิดความผิดพลาดหรือการสูญเสียสัตว์ จะโทษตัวเองและรู้สึกผิด ซึ่งสะสมจนเป็นความเครียดลึก
ผศ.น.สพ.ภูดิทมณีสาย(นายกสมาคมสัตวแพทยผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย) เสริมว่า โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมีความเครียดสูงที่สุด เพราะต้องเจอเคสที่ซับซ้อน ขณะที่สัตวแพทย์ในคลินิกแม้จะเจอแรงกดดันน้อยกว่า แต่ก็มีความกังวลเรื่องทรัพยากรและเครื่องมือที่ไม่เพียงพอ อีกสิ่งที่ต้องไม่มองข้ามคือ มิติทางอารมณ์ สัตว์เลี้ยงทุกวันนี้ถูกมองว่าเป็นสมาชิกครอบครัว นั่นหมายถึงความคาดหวังจากเจ้าของสูงมาก และสัตวแพทย์ต้องรับแรงกดดันทางอารมณ์โดยตรง
Q3: การทำงานในฟาร์มปศุสัตว์เช่นฟาร์มสุกรมีความท้าทายใดบ้าง?
- สพ.ญ.ดร.เมตตาเมฆานนท์(นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย) กล่าวว่า สัตวแพทย์ด้านปศุสัตว์ต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ, ผลทางกฎหมาย(เช่น การที่ฟาร์มสุกรขนาดใหญ่ มีสุกรมากกว่า500 ตัว ต้องมีสัตวแพทย์ประจำ) และความรับผิดชอบในการยืนยันสุขภาพสัตว์ก่อนส่งโรงฆ่า ซึ่งอาจมีความเสี่ยงจากการปนเปื้อนโรคระหว่างการขนส่ง หลังจากผ่านการยืนยันจากสัตวแพทย์แล้ว
[ * นอกจากนี้ สัตวแพทย์ปศุสัตว์ยังแบ่งเป็น2 กลุ่มคือ **หมอประจำฟาร์ม** ที่ต้องมีการกักตัวก่อนเข้าฟาร์ม และ **หมอบริษัท** ที่ต้องเดินทางเยี่ยมฟาร์มต่างจังหวัดซึ่งกินเวลาทั้งวัน โดยมีหน้าที่หลากหลายตั้งแต่การตรวจสุขภาพ, ชันสูตรซาก, ไปจนถึงการทำรายงาน ทำให้มีความรับผิดชอบสูงและเสี่ยงต่อการหมดไฟ ]
Q4: ในฐานะสภาวิชาชีพและองค์กรอิสระมีแนวทางในการร่วมมือเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตวแพทย์อย่างไร?
- ผศ.น.สพ.ภูดิทมณีสาย(นายกสมาคมสัตวแพทยผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย) กล่าวว่า องค์กรไม่ได้มีอำนาจในการบังคับใช้ แต่จะช่วยเสริมสร้างการสนับสนุนให้เกิดการกระทำในเชิงบวก และแสดงความยินดีที่งานนี้เกิดขึ้นจากความริเริ่มของภาคเอกชนอย่างเบอริงเกอร์
[ * **รศ****.****สพ****.****ญ****.****ดร****.****จารุวรรณ****คำพา****\(****เลขาธิการสัตวแพทยสภา****\)**ชี้ว่า สังคมยังไม่เข้าใจในบทบาทของสัตวแพทย์อย่างแท้จริง จึงมีแผนที่จะปรับภาพลักษณ์ของสัตวแพทย์ทั้งในสายสัตว์เลี้ยงและปศุสัตว์ เพื่อให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของวิชาชีพ นอกจากนี้ยังเน้นว่าเป้าหมายของแต่ละฝ่ายไม่เหมือนกัน ดังนั้นทุกส่วนจึงต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะในเรื่องการส่งเสริมให้สัตวแพทย์ปศุสัตว์มีตัวตนและเป็นที่ตระหนักถึงความสำคัญ รวมถึงการมีเวทีให้สัตวแพทย์รุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถ , * **สพ****.****ญ****.****กฤติกา****ชัยสุพัฒนากุล****\(****ประธานชมรมสถานพยาบาลสัตว์แห่งประเทศไทย****\)** เน้นย้ำเรื่องปัญหาการขาดแคลนบุคลากร โดยเสนอให้เริ่มตั้งแต่กระบวนการคัดสรรนักศึกษา การจัดบูทแคมป์เพื่อปรับความคาดหวัง และการทำแผนพัฒนาเฉพาะตัวให้กับสัตวแพทย์แต่ละคน เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าเสียงของตัวเองได้รับการได้ยิน และนำไปสู่การปรับปรุงนโยบายขององค์กรที่ช่วยให้สัตวแพทย์มีความสุขในการทำงาน ]
Q5: สัตวแพทย์ในยุคนี้ควรมีทักษะใดเพิ่มขึ้นบ้าง?
- ผศ.น.สพ.ภูดิทมณีสาย(นายกสมาคมสัตวแพทยผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย) กล่าวว่า เทรนด์การเลี้ยงสัตว์เปลี่ยนไป สัตว์กลายเป็นสมาชิกในครอบครัว ดังนั้นสัตวแพทย์ต้องปรับการสื่อสารให้คิดว่ากำลังพูดคุยกับผู้ที่พาสมาชิกในครอบครัวมารักษา และต้องมีความเข้าใจในสัตว์และเจ้าของมากขึ้น
[ * **ผศ****.****น****.****สพ****.****รุ่งโรจน์****โอสถานนท์****\(****อดีตประธานคณะผู้บริหารวิทยาลัยวิชาชีพการสัตวแพทย์ชำนาญการแห่งประเทศไทย****\)** มองว่าความรู้ไม่ใช่ปัญหาที่กำลังขาด ในทุกวันนี้เราสามารถค้นคว้าจากทั้งในออนไลน์และแอปลิเคชันต่าง ๆ ได้ง่าย แต่เรื่องของจิตใจและทักษะด้าน**Soft Skill** ต่างหากที่สำคัญ เพราะปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถเข้ามาทดแทนได้ การมีทักษะเหล่านี้จะช่วยให้เข้าถึงใจของคนและสัตว์ได้มากขึ้น และนำไปสู่การรักษาที่ตรงจุด , * **สพ****.****ญ****.****ดร****.****เมตตา****เมฆานนท์****\(****นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย****\)** ย้ำว่าสัตวแพทย์สายปศุสัตว์ควรมีทักษะด้านการบริหารธุรกิจ และทักษะด้านภาษาที่หลากหลาย เช่น อังกฤษ, จีน, เวียดนาม และอินโดนีเซีย–มาเลเซีย เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางปศุสัตว์ของภูมิภาค ]
Q6: ในอนาคตเราจะดึงดูดสัตวแพทย์รุ่นใหม่อย่างไร?
ผู้ร่วมเสวนาต่างเห็นพ้องว่าการดึงดูดสัตวแพทย์รุ่นใหม่เข้าสู่วิชาชีพอย่างยั่งยืนนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ระดับรากฐาน โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้:
- สร้างความรู้ความเข้าใจตั้งแต่วัยเรียน: มีข้อเสนอแนะว่าควรสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาชีพนี้ให้กับนักเรียนในระดับมัธยม เพื่อให้พวกเขามีความเข้าใจที่ถูกต้องและครอบคลุมก่อนตัดสินใจเลือกเส้นทาง นอกจากนี้ ในระดับมหาวิทยาลัย ควรเน้นกระบวนการ“Recruit – Educate – Training” อย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาบัณฑิตให้เป็นสัตวแพทย์ที่มีคุณภาพและมีความพร้อมในการทำงาน
[ * **การเตรียมความพร้อมของครอบครัว****:** ผู้ร่วมเสวนาเน้นย้ำว่าผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกอาชีพของลูก ผู้ปกครองควรใส่ใจและปรับความคิดให้พร้อมกับการเป็นสัตวแพทย์ เพราะเป็นอาชีพที่มีความรับผิดชอบสูงมาก และทุกชีวิตมีความหมาย การที่พ่อแม่เข้าใจความท้าทายของวิชาชีพนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถสนับสนุนและเป็นที่พึ่งให้กับลูกได้เมื่อต้องเผชิญกับความเครียดจากการเรียนและการทำงาน , * **โครงการเชิงรุกจากองค์กรวิชาชีพ****:** **สมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย****\(VPAT\)** ได้ริเริ่มจัดกิจกรรมอย่าง**“****ค่ายโลกทรรศสัตวแพทย์****“** เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนมัธยมปลายได้สัมผัสกับโลกของสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด และยังเสนอแนวคิดที่น่าสนใจว่าควรพาผู้ปกครองเข้าร่วมค่ายด้วย เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและเป็นทีมเดียวกันในการเลือกเส้นทางวิชาชีพนี้ , * **พัฒนา****Soft Skill:** ทางVPAT ยังเน้นย้ำว่าการพัฒนาทักษะด้านอารมณ์และสังคม หรือ**Soft Skill** ให้กับสัตวแพทย์รุ่นใหม่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน ทักษะเหล่านี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นกลไกสำคัญในการช่วยเหลือวงการทั้งต้นทางและปลายทาง ]
Q7: องค์กรต่างๆควรปรับปรุงด้านใดบ้าง?
- ผศ.น.สพ.รุ่งโรจน์โอสถานนท์(อดีตประธานคณะผู้บริหารวิทยาลัยวิชาชีพการสัตวแพทย์ชำนาญการแห่งประเทศไทย) มองว่ามหาวิทยาลัยควรทำงานร่วมกับสภาวิชาชีพในเรื่องหลักสูตรตลอด6 ปี และภาคเอกชนควรเข้าใจทักษะของสัตวแพทย์จบใหม่ เพื่อลดความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผล เช่นคาดหวังว่าสัตวแพทย์ที่เพิ่งจบต้องทำการผ่าตัดใหญ่ได้ ในขณะที่ผลตอบแทนอยู่ในขั้นต้น
Q8: ในอีก5-10 ปีข้างหน้าอยากเห็นอะไรในวงการสัตวแพทย์ไทย?
ผู้ร่วมเสวนาต่างมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันอนาคตของวิชาชีพสัตวแพทย์ในทิศทางที่ยั่งยืนและก้าวไกลยิ่งขึ้น โดยสรุปวิสัยทัศน์ที่อยากเห็นในอนาคตได้ดังนี้:
- อ.น.สพ.ชัยยศธารรัตนะ(ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ, คณะสัตวแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) เชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการรักษาสัตว์ที่พัฒนาขึ้น ผมเชื่อว่าในปัจจุบันเราเป็นผู้นำด้านสัตวแพทยศาสตร์ในภูมิภาคนี้แล้ว แต่อยากใหมุ่งเป้าไปไกลกว่านั้น เพราะในปัจจุบันความรู้ไม่มีขอบเขตทางพรมแดน การพัฒนาทางวิชาการและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ควบคู่ไปกับการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของสัตวแพทย์
[ * **สพ****.****ญ****.****กฤติกา****ชัยสุพัฒนากุล****\(****ประธานชมรมสถานพยาบาลสัตว์แห่งประเทศไทย****\)** ต้องการเห็นสัตวแพทย์เป็นมากกว่าผู้ประกอบ“อาชีพรับจ้างทำของ” ที่แบกรับความคาดหวังของลูกค้ามาโดยตลอด และอยากเห็นสัตวแพทย์ทำงานอย่างมีความสุขในทุกด้าน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดพลังบวกไปยังคนรอบข้าง ทั้งเจ้าของกิจการ, เจ้าของสัตว์ และตัวสัตว์เอง ]
ผู้ร่วมเสวนาคนอื่นๆ มีวิสัยทัศน์ร่วมกันว่า อยากให้สัตวแพทย์ในอนาคตเป็น“บุคลากรทางการแพทย์สายหนึ่ง” ที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจากสังคม ไม่ใช่เป็นเพียงอาชีพที่ให้การดูแลสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่เป็นอาชีพที่สำคัญในการดูแลชีวิตของทุกสิ่ง ทั้งสัตว์, คน และระบบเศรษฐกิจ การได้รับการยอมรับนี้จะนำไปสู่การสนับสนุนด้านนโยบายและเงินทุนที่เพียงพอ ซึ่งจะช่วยให้วิชาชีพมีความมั่นคงยิ่งขึ้น และอยากเห็นสัตวแพทย์ก้าวไปสู่การเป็น“สัตวแพทย์ไร้พรมแดน” ที่สามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ทำให้วงการสัตวแพทย์ไทยแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป