STECON โบรกมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลัง
STECON โบรกมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลัง
#stecon #ทันหุ้น – การซื้อขายหุ้นของบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON วันที่ 22 ส.ค.68 เคลื่อนไหวในช่วง 6.15-6.25 บาท ปิดครึ่งวันเช้าที่ 6.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท หรือเพิ่มขึ้น 2.46% มูลค่าการซื้อขาย 4.26 ล้านบาท
STECON จัดประชุมนักวิเคราะห์วันที่ 21 ส.ค.68 IAA Consensus ให้คำแนะนำ “ซื้อ” 12 ราย ไม่มีคำแนะนำ “ถือ” และ “ขาย” โบรกเกอร์ให้ราคาเหมาะสมในช่วง 7.80-10.00 บาท มีค่ากลางที่ 9.25 บาท โบรกเกอร์ได้ออกบทวิเคราะห์หุ้น STECON ในวันที่ 22 ส.ค.68 มีมุมมองดังนี้
บล.เคจีไอ : กำไรน่าจะพีคแล้วในไตรมาส 2/68
บล.เคจีไอมองว่าข่าวดีส่วนใหญ่ ได้แก่ เงินปันผลรับสูง ค่าเคลมประกันจากโครงการป้องกันน้ำท่วมหนองบอน และการไม่มีส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยวสายสีชมพู สีเหลืองที่ได้ถูกบันทึกไปแล้วในงบครึ่งปีแรก 2568 ดังนั้น บล.เคจีไอคาดว่ากำไรครึ่งปีหลัง 2568 จะอ่อนตัวลงอย่างมีนัยยะเทียบ HoH อีกทั้ง หากโครงการสนามบินอู่ตะเภาไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ มูลค่างานรับเหมาในมือ (Backlog) ก็น่าจะลดลง 20% เหลือ 1 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ดี บล.เคจีไอปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568 ขึ้นราว 30% เพื่อรวมค่าเคลมประกันจากโครงการหนองบอน แต่ปรับลดประมาณการกำไรปี 2569 ลงเล็กน้อย 15% ที่ 975 ล้านบาท (-18.5% YoY) เพราะอาจมีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มในการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และขาดทุนบางส่วนในช่วงเริ่มดำเนินงานธุรกิจใหม่ ๆ
ทั้งนี้ การที่ข่าวดีส่วนใหญ่ถูกรับรู้ไปในราคาหุ้นปัจจุบันแล้ว บล.เคจีไอจึงปรับลดคำแนะนำหุ้น STECON ลงเป็น “ถือ” จาก “ซื้อ” โดยปรับลดราคาเป้าหมาย SOTP ลงใหม่ที่ 7.00 บาทจากเดิม 9.60 บาท
บล.ฟิลลิป : ครึ่งปีหลัง 2568 ก่อสร้างยังดี แต่ไม่เห็นกำไรพิเศษ
แนวโน้มไตรมาส 3/68 กำไรสูงขึ้น YoY จากปีก่อนที่เป็นขาดทุน ปีนี้ GPM กลับมาเป็นปกติ ไม่มีค่าซ่อมอุโมงค์ฯเหมือนปีก่อน แต่หากเทียบ QoQ กำไรลดลงจากไม่เห็นกำไรพิเศษเข้ามา
แนวโน้มครึ่งปีหลัง 2568 รายได้สูงขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรก แต่จะเริ่มเห็น GPM ลดลงจากงานก่อสร้าง Data Center ที่เป็น Scale ใหญ่เข้ามา กำไรจะโดดเด่นหากเทียบ YoY ที่เป็นขาดทุน แต่จะลดลง HoH จากครึ่งปีแรกที่มีกำไรพิเศษและรับปันผลจาก GULF
บล.บัวหลวง : โฟกัสครึ่งปีหลังที่งานใหม่และดีลธุรกิจ
บล.บัวหลวงระบุว่าโฟกัสครึ่งปีหลัง 2568 จะเป็นเรื่องงานใหม่ และการปิดดีลธุรกิจใหม่ มากกว่าเรื่องงบการเงิน ช่วงนี้เป็นจังหวะทยอยสะสม
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : การประชุมนักวิเคราะห์ – มุมมองเชิงบวก
บริษัทยังคงเป้าหมายปี 2568 โดยตั้งเป้ารายได้ก่อสร้างปีนี้ไว้ที่ 32 พันล้านบาท (จาก 30 พันล้านบาทในปี 2567) โดยมีทั้งงานภาครัฐและเอกชน ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 7% (ในครึ่งปีแรก 2568 อยู่ที่ 7.5% ส่วนปี 2567 มาร์จิ้นติดลบ) จากการเพิ่มสัดส่วนงานภาคเอกชนที่ให้มาร์จิ้นสูง
แนวโน้มครึ่งปีหลัง 2568 รายได้จากการก่อสร้างเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบ QoQ โดยหลักมาจากงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 7 โครงการ และโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งนี้ โดยปกติรายได้ก่อสร้างในครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรก สำหรับค่าใช้จ่าย SG&A/รายได้ในครึ่งปีหลัง 2568 จะลดลงจากไตรมาส 2/68 ซึ่งเป็นช่วงที่บันทึกประมาณการผลตอบแทนพนักงานเพิ่มขึ้น
มี Backlog สูง ทำให้รายได้มีความมั่นคงใน 3 ปีข้างหน้า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) สูงที่ 127 พันล้านบาท โดยในปี 2568 ตั้งเป้าได้งานใหม่ 50 พันล้านบาท ซึ่งใน YTD ได้มาแล้ว 26 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะได้งานใหม่จากภาคเอกชนเป็นหลัก
ได้รับผลกระทบจากแรงงานกัมพูชากลับประเทศไม่มาก เนื่องจากแรงงานกัมพูชาคิดเป็นประมาณ 3% ของทั้งหมด (โดยหลักบริษัทใช้แรงงานคนไทยและเมียนมา) และผู้รับเหมาช่วงก็ใช้แรงงานเมียนมาเป็นหลัก
คาดว่าจะมีการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่มูลค่า 700-800 พันล้านบาทในช่วงไตรมาส 4/68 – ปี 2569 ได้แก่ โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดง, มอเตอร์เวย์ M5 (รังสิต-บางปะอิน) & M9 (ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ), โครงการรถไฟความเร็วสูงเฟส 2 (โคราช-หนองคาย)
บล.ดีบีเอสฯ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาพื้นฐาน 9.30 บาท อิงกับ P/BV ปีนี้ที่ 0.5 เท่า โดยคาดว่ากำไรหลักปี 2568 จะอยู่ที่ 917 ล้านบาท (จากขาดทุนสุทธิในปี 2567) และเพิ่มเป็น 1,064 ล้านบาทในปี 2569 โดยสะท้อนส่วนแบ่งผลขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่ลดลงเป็น 200 ล้านบาทในปี 2568 และเป็นศูนย์ในปี 2569 จากการเปลี่ยนแปลงวิธีบันทึกบัญชีไปแล้ว ณ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV 0.50 เท่า (Mean -1.5SD)
บล.พาย : ปรับกำไรเพิ่มหลังไม่ต้องรับรู้สายสีเหลือง-ชมพู
บล.พายแนะนำ “ซื้อ” (TP 9.40 บาท) ด้วยปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ยังเห็นการเติบโตได้ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ทั้งจากฐาน Backlog ที่มีอยู่กว่า 100,000 ล้านบาท และการไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูไตรมาสละกว่า 100 ล้านบาท
ขณะที่การเซ็นสัญญางานใหม่มีงานภาคเอกชนที่รอเซ็นอีกกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เป็นไปตามเป้าที่จะมีงานใหม่เข้ามาที่ 50,000 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจอื่น ล่าสุดมีการลงทุนใน Start-up แล้ว 2 ราย เงินลงทุนรวมประมาณ 120 ล้านบาท เช่นเดียวกับการลงทุนในธุรกิจ Data Center คาดว่าจะได้ข้อสรุปและเซ็นสัญญาได้ในช่วงปลายปี 2568 นี้
บล.กสิกรไทย : แนวโน้มยังคงอยู่ กำหนดการ UTA เป็นจุดสนใจ
STECON จัดการประชุมนักวิเคราะห์โดยมีแนวโน้มค่อนข้างเป็นบวก UTA คาดว่ารัฐบาลจะออก NTP ได้ภายในวันที่ 29 ส.ค. มิฉะนั้นสัญญาจะถูกยกเลิกและจะเรียกร้องค่าชดเชย
บล.กสิกรไทยปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2568/69/70 ขึ้น 36%/43%/41% เพื่อสะท้อนการปรับประเภทการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองและสายสีชมพู
บล.กสิกรไทยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเหมาะสม 9.86 บาท หนุนโดยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและปัจจัยกดดันเดิมที่คลี่คลาย
บล.ดาโอ : ครึ่งปีหลัง 2568 ธุรกิจก่อสร้างดีต่อ หยุดรับรู้ขาดทุนสายสีชมพู-เหลือง
บล.ดาโอมีมุมมองเป็นบวกจากการประชุม จากครึ่งปีหลัง 2568 ยังดีตามคาด ดังนี้
- บริษัทคงเป้ารายได้ก่อสร้างปี 2568 (โตอย่างน้อย +5% YoY) และเป้างานใหม่ที่ 5 หมื่นล้านบาท (YTD เซ็นแล้ว 2.6 หมื่นล้านบาท) โดยมีโอกาสเซ็นงานใหม่เพิ่ม เช่น Data Center
- โครงการอู่ตะเภา รอโครงการรถไฟ 3 สนามบิน หากไม่คืบหน้า บริษัทอาจไม่ขยาย long-stop date ของสัญญาในวันที่ 29 ส.ค. (ยังไม่รวมในประมาณการ Backlog)
- ได้รับผลกระทบจำกัดจากประเด็นแรงงานกัมพูชา ที่มีสัดส่วนเพียง 3% ของแรงงานทั้งหมด
คงกำไรปกติปี 2568 ที่ 847 ล้านบาท (ปี 2567 ขาดทุนปกติที่ -1.3 พันล้านบาท) คาดกำไรปกติไตรมาส 3/68 โตจากรายได้ดีต่อเนื่อง GPM ทรงตัวสูง และหยุดรับรู้ขาดทุนจากสายสีชมพูและสีเหลืองตั้งแต่ไตรมาส 2/68
บล.ดาโอคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 10.00 บาท อิง 2568 Core PER 18x (-1SD below 5-yr average PER) จากการฟื้นตัวผลการดำเนินงาน และ Backlog อยู่ในระดับสูง 1 แสนล้านบาท
STECON โบรกมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลัง