“ทีดีอาร์ไอ” ชี้เศรษฐกิจไทยซึมตัว เจอวิกฤต “เทรดวอร์-ภาษีทรัมป์” กดดัน
ดร. กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการตอบโต้ทางภาษี (Reciprocal Tariffs) ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยที่ไม่ใช่วิกฤต แต่เป็นหนังชีวิต จะซึมยาว โตช้าๆ และนาน เป็นอีกบริบทต้องปรับตัวอยู่ให้ได้ ไม่ใช่แค่ไทย แต่เป็นทั่วโลก และครั้งนี้เมื่อธุรกิจเปลี่ยนแปลงแล้วเปลี่ยนเลย เพราะการโยกย้ายการลงทุนแต่ละครั้ง เมื่อย้ายแล้วต้องอยู่ยาว 10-20 ปี ที่ผ่านมามีการลงทุนย้ายมาไทยค่อนข้างมาก จากข้อมูลสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) อนุมัติการลงทุนปี 2566-2567 สูงเป็นประวัตการณ์และครึ่งแรกปี 2568 เพิ่มขึ้น 75% โดย 50% เป็นนักลงทุนจากจีน
ส่วนอุตสาหกรรมเป็นอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์อีวี ดาต้าเซ็นเตอร์ และอีก 2-3 ปีข้างหน้าเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) จะมีการลงทุนเข้ามามาก เวฟแรกที่ดินนิคมอุตสาหกรรมจะมีความต้องการสูงขึ้น ตามมาด้วยเวฟที่สองที่อยู่อาศัยสำหรับคนทำงาน
“เศรษฐกิจไทยปี 2568 ครึ่งปีแรกการส่งออกเติบโตถึง 14% ผลจากการเร่งส่งออกก่อนภาษีทรัมป์มีผล แต่ครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลง ทั้งปีคาดว่าส่งออกจะโตแค่ 1% เมื่อส่งอออกไม่ดี กระทบกำลังซื้อในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยจะโตช้า และต้องอยู่กับมันไปอีกหลายปี” ดร.กิริฎา กล่าว
ดร.กิริฎากล่าวว่า ภาพของเศรษฐกิจไทยในบริบทเศรษฐกิจโลกจากสงคราม ภาษีทรัมป์ มีการชะลอตัวจากภาคการส่งออกที่รายได้ลดลง ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง เงินเฟ้อจะต่ำระดับกว่า 1% ส่งผลอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 4 ครั้งตั้งแต่ปลายปี 2567 ล่าสุดอยู่ที่ 1.50% และน่าจะถึงเวลาที่ธปท.จะลดอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้และต้นปีหน้าอาจจะเหลือ 1% เพื่อประคองเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงและหนี้สินครัวเรือนยังสูง แม้ดอกเบี้ยมีทิศทางขาลงแต่แบงก์ยังไม่ปล่อยกู้เพิ่ม สำหรับค่าเงินบาทคาดว่าจะอ่อนค่าลงเล็กน้อยถึงสิ้นปีอยู่ที่ 33.50-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากรายได้การส่งออกและการท่องเที่ยวที่ลดลง ขณะที่การเบิกจ่ายภาครัฐยังล่าช้ากว่าค่าเฉลี่ยปกติ แม้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น 1.15 แสนล้านบาท
“สำหรับเศรษฐกิจปี2569 โตช้ากว่าปีนี้ เพราะหนี้ครัวเรือนยังสูง 90% แม้ในช่วง 3 ไตรมาสของปี 2568 จะลดลงเล็กน้อย แต่เป็นการลดลงจากที่แบงก์ไม่ปล่อยกู้ จึงยังมองไม่ออกว่ากำลังซื้อคนไทยจะโตได้อย่างไร ขณะที่การท่องเที่ยวชาวต่างชาติคงฟื้นตัวยาก แม้นักท่องเที่ยวไทยกลับไปเกินระดับโควิดแล้ว แต่ยังไม่ได้ช่วยอะไรมา เพราะ 1 ใน 3 ของรายได้ท่องเที่ยวมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมองว่าปีหน้าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาเท่ากับปี 2567 คงอีกนานจะกลับแตะ 40 ล้านคน ดังนั้นจึงมองว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมเป็นการฟื้นตัวแบบ k-shaped โดยปี 2568 ขยายตัวที่ 1.5-2% และขยายตัวที่ 1.7-1.8%ในปี 2569" ดร.กิริฎากล่าว