โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เรื่องหมู ที่ไม่หมู! เปิดดีลหมูสหรัฐฯ โอกาสหรือหายนะ? ผู้เลี้ยงไทยผวา เตือนวงการปศุสัตว์เสี่ยงตายทั้งระบบ

THE STANDARD

อัพเดต 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
เรื่องหมู ที่ไม่หมู! เปิดดีลหมูสหรัฐฯ โอกาสหรือหายนะ? ผู้เลี้ยงไทยผวา เตือนวงการปศุสัตว์เสี่ยงตายทั้งระบบ

แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ มีความความพยายามเสนอผ่านผู้แทนการค้าสหรัฐ หรือ USTR ในการกดดันประเทศไทยและอีกหลายประเทศ ให้ยอมรับซื้อเนื้อหมูและชิ้นส่วนหมูแปรรูป

อย่างช่วงปี 2560 ก็เป็นหนึ่งใน “ประเด็นร้อน” และมีความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรไทยออกมารวมตัวแสดงจุดยืนต่อต้านมาโดยตลอด

กระทั่งนำมาสู่ ความกังวลถึงประเด็นการเรียกร้องของภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ให้ไทยเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น หมู เพื่อแลกกับเงื่อนไขการลดภาษีการค้า กำลังเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคการเกษตรของไทย

วันนี้ “เรื่องหมูๆ” อาจไม่หมู อย่างที่คิด หากไทยแลกดีลเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ใครได้ -ใครเสีย?

“TFG” ผู้เลี้ยงหมูรายใหญ่หวั่นไทยเปิดตลาดนำเข้าหมูสหรัฐฯ กระทบ Supply Chain ลามถึงเกษตร

ผู้บริหาร TFG แสดงความกังวลต่อดีลนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ

เพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป หรือ TFG ผู้ผลิตไก่เพื่อการส่งออกและสุกรรายใหญ่ในไทยและเวียดนาม ได้ให้สัมภาษณ์ให้ความเห็นกับ THE STANDARD WEALTH ว่า การเปิดตลาดนำเข้าสุกรจากสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ Supply Chain ของผู้ผลิตสุกรในประเทศไทยที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

“ไม่ใช่แค่ผู้เลี้ยงสุกรเท่านั้น จะกระทบต่อเกษตรกรไทย ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ อีกจำนวนมาก รวมถึงผู้ผลิตวัตถุดิบการเกษตรอื่นๆ เช่น ปลายข้าว มันสำปะหลังที่ใช้เป็นอาหารสัตว์”

อีกทั้งสหรัฐฯ ใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค หากมีการนำเข้าสุกรจากสหรัฐฯ เข้ามา

ดังนั้นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นไม่เพียงกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อสุขอนามัยของผู้บริโภคในประเทศอีกด้วย

” ถ้าเปิดตลาดนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ ผลกระทบจะรุนแรงมาก เพราะสหรัฐฯ อาจผลิตได้ดีและถูกกว่าเรา ส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำกว่า ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยงของเขาถูกกว่าเราเกือบครึ่งหนึ่ง” เพชรกล่าว

แนะทางออกที่ยั่งยืน “เน้นนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์”

ในทางกลับกัน หากมีความจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าเกษตรเพื่อช่วยในการเจรจากับสหรัฐฯ มองว่าการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับผลิตอาหารสัตว์

น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็น ข้าวโพด ซึ่งไทยผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการอยู่แล้ว

โดยผลิตได้ประมาณ 4 ล้านตันต่อปี แต่ความต้องการสูงถึง 8-9 ล้านตันต่อปี

อีกทั้งกากถั่วเหลืองซึ่งปัจจุบันไทยผลิตอาหารสัตว์รวมประมาณ 20 ล้านตันต่อปี ในจำนวนนี้ใช้กากถั่วเหลือง เป็นส่วนผสมหลักถึง 30% หรือประมาณ 6-7 ล้านตันต่อปี โดยปัจจุบันไทยมีการนำเข้าจากอเมริกาใต้อยู่แล้วเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ การนำเข้าวัตถุดิบเหล่านี้จะช่วย ลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรไทย ทำให้สินค้าปศุสัตว์ของไทย เช่น สุกรและไก่ สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น และการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ยังสามารถช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาไร่ข้าวโพดในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านได้อีกด้วย จะส่งผลกระทบวงกว้างต่อภาคเกษตรไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ประธาน สรท.กังวล Worst Case ทุบส่งออกสูญ 9 แสนล้านบาท

ด้านธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ได้ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า ก่อนที่มาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ สหรัฐฯ ได้เร่งนำเข้าสินค้าจากไทยไปล่วงหน้าค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งเป็นการเตรียมรับมือของผู้ประกอบการนำเข้าของสหรัฐฯ เอง

ประเด็นสำคัญที่น่ากังวลคืออัตราภาษีที่ไทยจะถูกเรียกเก็บนั้นสูงกว่าประเทศคู่แข่งโดยตรงอย่างเวียดนามและมาเลเซียมาก ซึ่งผู้ผลิตของประเทศไทยที่ค่อนข้างมีโปรดักต์ไลน์ใกล้เคียงกับประเทศไทยก็คือมาเลเซียกับเวียดนาม ซึ่งทั้ง 2 ประเทศได้เรทที่ประเทศเราถึง 10-12% และ 16% ซึ่งก็ถือว่าสูงมาก

โดยสรท. ได้เสนอให้รัฐบาลไทยพิจารณาเจรจาอัตราภาษีให้ใกล้เคียงกับเวียดนามที่ 20% เนื่องจากหากไทยต้องเสียภาษีสูงถึง 36% จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงอย่างมาก และผู้ประกอบการสหรัฐฯ อาจหันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นแทน

โอกาสในการเจรจาต่อรองของไทย

ธนากรมองว่าการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่ใช่เพียงแค่การยอมรับข้อเสนอเท่านั้น แต่เป็นการใช้กลยุทธ์เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างด้านดุลการค้าและพฤติกรรมการส่งออกสินค้า Transhipment ระหว่างไทยกับเวียดนาม

“เราต้องแลกให้มากที่สุดเพื่อให้เรตภาษีเราใกล้เคียงกับเวียดนาม แต่ถึงขั้นทั้งหมดหรือเปล่านั้น อันนี้ผมว่ามันเป็น Art Of Negotiation ซึ่งหมายถึงการที่ทีมเจรจาของไทยจะต้องใช้ข้อมูลและข้อได้เปรียบที่เรามีอยู่ เพื่อต่อรองให้ได้เงื่อนไขที่ดีที่สุด ไม่ใช่การยอมรับข้อเสนอทั้งหมด” ธนากรกล่าว

แม้ไทยจะเสียเปรียบในแง่ของอัตราภาษี แต่ธนากรชี้ว่าไทยยังมีประเด็นที่สามารถนำมาใช้ในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ ได้ ดังนี้

  • ด้านดุลการค้ากับสหรัฐฯ เวียดนามได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ มากกว่าไทยถึง 3 เท่าตัว ขณะที่ไทยทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเพียง 1 เท่าตัว ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ไทยน่าจะมีโอกาสดึงมาเจรจาต่อรองได้

  • การนำเข้าสินค้า Transhipment: เวียดนามมีการนำเข้าสินค้า Transhipment สินค้าที่มีการหลบเลี่ยงแหล่งกำเนิดสินค้า มากกว่าไทยอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่ทีมเจรจาของไทยสามารถนำไปใช้ในการต่อรองได้

ประเมินหากไทยเจรจาไม่สำเร็จ สะเทือนอุตสาหกรรมลูกโซ่ หวั่นโรงงานย้ายฐานการผลิต

ธนากร ยังย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาครั้งนี้ เพราะหากไม่สามารถหาข้อยุติได้ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม ผลกระทบจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนาน หากอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เก็บจากสินค้านำเข้าจากไทยมีผลบังคับใช้แล้วทางสหรัฐฯ ที่ 36% เชื่อว่าสหรัฐฯ คงไม่ถอย ส่งผลให้ต้องจำเป็นต้องใช้อัตราภาษีดังกล่าวนี้ไปนานพอสมควร

โดยหากการเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จและไทยต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่ 36% ธนากรประเมินว่าผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยจะมหาศาล ปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ปีละประมาณ 2 ล้านล้านบาท หากเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst Case) มูลค่าการส่งออกอาจลดลงไปถึง 9 แสนล้านบาท หรือเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

นอกจากนี้ ผลกระทบจะไม่ใช่แค่การหยุดซื้อสินค้าเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อการลงทุนในระยะยาวด้วย

“โรงงานที่กำลังจะตั้งหรือที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนอาจต้องพิจารณาใหม่ว่าคุ้มค่ากับการลงทุนในไทยหรือไม่ และโรงงานที่ตั้งอยู่แล้วก็อาจจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นในระยะยาว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นจริง”

สรท. – ส.อ.ท. ชงรัฐเยียวยาผลกระทบ หวั่นเสียเปรียบคู่แข่ง ย้ำ “ไทยยังมีหวัง”

สรท. ได้ยื่นหนังสือถึง พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อขอให้พิจารณาเจรจาอัตราภาษีให้ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งโดยตรง และคาดว่าทีมเจรจาของไทยจะนำเงื่อนไขที่สรท. เสนอไปถกกันต่อเพื่อกำหนดกรอบการเจรจา

“ มองว่าความหวังเราคงมีอยู่ และเข้าใจว่ารัฐบาลคงจะรับเรื่องนี้ไปพิจารณาวางแผนต่อไป เพื่อให้ได้อัตราภาษีที่เอื้อต่อการแข่งขันของภาคการส่งออกไทยมากที่สุด สถานการณ์นี้ยังคงต้องจับตาดูความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ภาคการส่งออกไทยสามารถรับมือกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ”

ด้านเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้ประชุมหารือกับ 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 11 คลัสเตอร์ และกำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูล เชิงเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มา 22 ประเทศ และสรุป 4 มาตรการด่วนก่อนยื่นให้กระทรวงการคลัง ” เกรียงไกร กล่าว

(ที่มาภาพ : Agrinplusnews)

อาชีพเลี้ยงหมู ที่ไม่หมู! แลกดีลภาษีทรัมป์ หวั่น ทำลายปศุสัตว์ทั้งระบบ

สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผย THE STANDARD WEALTH ว่า ระบุว่า สหรัฐอเมริกาประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 36% ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องเจรจากันอีกครั้ง โดยยังไม่ทราบว่า รัฐบาลจะเปิดตลาดให้มีการนำเข้าเนื้อ ชิ้นส่วน และเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ ตามที่สหรัฐฯ แสดงความต้องการมานานแล้วหรือไม่

กรณีนี้ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งทราบว่าในที่ 11 ก.ค. ทีมไทยแลนด์ได้มีการประชุมหารือหลายฝ่าย ซึ่งสมาคมก็ยังไม่รับการติดต่อร่วมหารือแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ย้ำว่า หากรัฐบาลยอมให้นำเข้า จะเป็นการทำลายเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร รวมถึงตลอดห่วงโซ่เนื่องจากซึ่งต้นทุนการผลิตสุกรของสหรัฐฯ ต่ำมาก

หากคิดเป็นตัวเลข หมูไทย “เสียเปรียบ” หมูสหรัฐฯ ทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุน ขนาด พื้นที่การเลี้ยง หรือแม้แต่ราคา

โดยที่ผ่านมา ราคาเนื้อหมูไทยแพงกว่าหมูสหรัฐฯ 1.3 เท่า โดยหมูสหรัฐฯ มีราคาขายเฉลี่ยที่ 1.7 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ราวๆ 40 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่หมูไทยมีราคาเฉลี่ยที่ 2.3 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม เฉลี่ย 70 บาทต่ต่อกิโลกรัม

อุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูไทย-สหรัฐ “ต่างกันสิ้นเชิง”

ไม่ว่าจะเป็นขนาดฟาร์มที่ใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นฟาร์มอุตสาหกรรม และเลี้ยงหมูได้มากกว่า 5,000 ตัวต่อฟาร์ม มีความพร้อมด้านวัตถุดิบเลี้ยงสัตว์ เพราะมีข้าวโพดและถั่วเหลืองที่สหรัฐฯ สามารถผลิตเองได้มาก และมีพื้นที่แปลงใหญ่ 90% มาจากฟาร์มขนาดใหญ่

ง่ายๆว่า ต้นทุนการผลิตต่ำทั้งซัพพลาย เพราะมี Economy of Scale จากฟาร์มขนาดใหญ่ ส่วนหมูไทยผลิตได้น้อยกว่าสหรัฐฯ 1.6 ล้านตัน

ที่สำคัญคือ ต้องพึ่งพาวัตถุดิบเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะข้าวโพดและถั่วเหลือง ไทยส่วนใหญ่พืชไร่แปลงเล็ก มีข้าวโพดเป็นต้นทุน 70% ของต้นทุนการเลี้ยง ส่วนใหญ่เป็นฟาร์มขนาดเล็ก ดั้งเดิม และมีหมูไม่น้อยกว่า 50 ตัวต่อฟาร์ม หากนำเข้าผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภคก็จะไปกระทบราคาเขียงหมูในตลาด

“ เมื่อนำเข้ามาจะตีตลาดในประเทศจนเกษตรกรต้องล้มละลายและไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองบนโต๊ะเจรจา เพราะเป็นสินค้าเกษตรที่มีต้นทุนสูง กำไรต่ำ ”

นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการเปิดประตูให้โรคระบาดสัตว์และโรคอุบัติใหม่ เช่น โรคไข้หวัดหมู ซึ่งไม่เคยพบในไทย เข้ามาสร้างความเสียหายต่อระบบปศุสัตว์

“ อีกหนึ่งข้อกังวลสำคัญ คือ ประเทศผู้ส่งออกอย่างสหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงในกลุ่ม Beta-agonist ที่ไทยสั่งห้ามใช้โดยเด็ดขาด และหลายประเทศไม่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง ”

ถอดบทเรียน “ฟิลิปปินส์“

กรณีตัวอย่าง ฟิลิปปินส์เคยเปิดให้นำเข้า สุดท้ายเกษตรกรล้ม พังทั้งระบบเพราะสู้ราคาไม่ได้

สิทธิพันธ์ ย้ำอีกว่า สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนแนวทางการเจรจา หยุดแนวคิดเปิดตลาดเนื้อหมูและสินค้าเกษตรที่เปราะบาง พร้อมหันไปพิจารณาสินค้าอุตสาหกรรมอื่นที่สามารถแข่งขันได้จริง

“ต้นทุนการผลิตเกษตรที่สูงอยู่แล้ว จากวัตถุดิบอาหารสัตว์ ขณะขณะที่ทรัมป์ยังกดดันไทยเรื่องภาษีนำเข้าสินค้า และรัฐบาลไทยยังจะไปเสนอให้ไทยนำเข้าข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลืองจากสหรัฐเพิ่ม และที่สำคัญจะให้ไทยเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมู เนื้อโคจากสหรัฐ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่ดี ต่อไปฟาร์มของเกษตรคงล่มสลาย เลิกเลี้ยง เพราะสู้ไม่ได้ ปศุสัตว์ตายทั้งระบบ แน่นอน”

“พิชัย” ย้ำดีลเกษตรไทย-สหรัฐ ต้องรอบคอบและ Win-Win

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พิชัย ชุณหชิระ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า รัฐบาลจะพิจารณาการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ “อย่างรอบคอบ” โดยเฉพาะในส่วนที่ประเทศไทยผลิตได้ไม่เพียงพอหรือนำเข้าเพิ่มเพื่อแปรรูปส่งออก เพื่อแก้ไขปัญหาดุลการค้ากับสหรัฐฯ

สำหรับข้อกังวลด้านสุขภาพจากสารเร่งเนื้อแดง จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาอีกครั้ง พร้อมระบุว่าแต่ละประเทศมีมุมมองที่แตกต่างกัน

“ไทยจะใช้เวลาที่เหลือในการเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาเพิ่มรายการสินค้าที่สามารถนำเข้า-ส่งออก ระหว่างกัน ย้ำเป้าหมาย Win-Win แล้วจะสรุปข้อเสนอใช้ชัดเจนก่อนส่งสหรัฐอีกครั้งในวันที่ 14 ก.ค.”

ภาพ : Andy Sacks, SeizaVisuals / Getty Images

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

7 THINGS WE LOVE ABOUT SCANDINAVIAN BRANDS เสน่ห์แบบนอร์ดิกที่ครองใจคอแฟชั่นทั่วโลก

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เพื่อไทยย้ำ ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’ ลดรายจ่ายประชาชน โต้ข้อกล่าวหาเอื้อทุน ชี้หวังดิสเครดิตการเมือง

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กองทัพบกแจง นักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารเขมร ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

มหาเถรฯ สางปมพระผิดวินัย เร่งคัดกรอง-คุ้มครองศรัทธา-ปกป้องพระศาสนา

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

วิดีโอ

น้ำใจจากหนุ่มตกปลา แบ่งปลาให้ยายไว้กิน ทำเอายายยกมือไหว้ทั้งน้ำตา

BRIGHTTV.CO.TH

Made in Thailand แดนไทยเท่ : เครื่องรางของขลังล้านนา ความงามแห่งความเชื่อและศรัทธา

สำนักข่าวไทย Online

"นันทิวัฒน์" เตือนอย่าเชื่อ! ตั้งฐานทัพต่างชาติในไทยจะไม่โดนภาษีโหด

สยามรัฐ

ชาวบ้านผวา แตนทำรังบนต้นไม้ ใกล้ชุมชน

INN News

ข่าวดี “พระปรางค์วัดอรุณฯ” ได้รับบรรจุขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้นมรดกโลก

สำนักข่าวไทย Online

LIVE ถ่ายทอดสด "เปรสตัน พบ ลิเวอร์พูล" เกมอุ่นเครื่อง ลิงค์ดูบอลสด 21.00 น.

คมชัดลึกออนไลน์

เปิดสาเหตุ"พระเทพพัชราภรณ์" ขอลาออกเจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม

TNews

หวิดสลด เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า อุทยานฯ ภูเวียง ถูก "จั่นห้าว" ยิงต้นขา กระสุนฝังใน

Khaosod

ข่าวและบทความยอดนิยม

ทรัมป์สั่งเก็บภาษี 30% สินค้าจาก ‘ยุโรป-เม็กซิโก’ ดีเดย์ 1 ส.ค. นี้ ฟาก ‘สหภาพยุโรป’ ขู่ตอบโต้

THE STANDARD

สหรัฐฯ เตรียมปรับภาษีตอบโต้ SCB EIC แนะจับตา 5 ความเสี่ยงใหญ่ เขย่าเศรษฐกิจไทย ดันส่งออก-เกษตรสั่นคลอน

THE STANDARD

รูบิโอหารือหวังอี้ เห็นพ้องขยายความร่วมมือระหว่างกัน ท่ามกลางความตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...