โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

จากรากหญ้าสู่รากเศรษฐกิจ สมุนไพรไทยจะเยียวยาระบบสุขภาพที่เปราะบางได้จริงหรือ?

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
สมุนไพรไทย “Herb of the Year” กลายเป็นกลไกสร้างรายได้และส่งออก พร้อมยกระดับระบบบริการสุขภาพผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่น รัฐบาลชู 5 สมุนไพรหลัก สร้างมูลค่าเกิน 3.5 พันล้านบาท

สมุนไพรไทย “Herb of the Year” กับบทบาท Soft Power และต้นทุนระบบสุขภาพ

ในยุคที่ประเทศไทยเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยทรัพยากรจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ภาครัฐได้ผลักดัน “สมุนไพรไทย” ให้ก้าวข้ามบทบาทยาแผนทางเลือก ไปสู่การเป็นสินค้าทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับระบบสุขภาพ และกลายเป็นเครื่องมือทาง Soft Power ที่มีอิทธิพลทั้งในระดับชาติและระดับสากล หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่รัฐบาลนำมาใช้ คือการยกให้สมุนไพรไทยบางชนิดเป็น “Herb of the Year” ซึ่งกำลังกลายเป็นเวทีทดสอบศักยภาพของภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยบนเวทีโลก

รัฐหนุนสมุนไพรไทย สู่มูลค่าหลายพันล้าน

โครงการ “Herb of the Year” ของรัฐบาลปี 2025–2027 ได้เลือกขมิ้นชันเป็นสมุนไพรเด่น พร้อมชูไพล กระชายดำ กระท่อม และกัญชา ขึ้นเป็นสมุนไพรส่งเสริมหลัก โดยไม่เพียงให้การสนับสนุนเชิงนโยบาย แต่ยังเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ เกษตรกร ผู้ประกอบการ และงานวิจัยอย่างเป็นระบบ จากข้อมูลที่เปิดเผยโดยรองโฆษกรัฐบาล ระบุว่าเพียงปีเดียว สมุนไพรทั้ง 5 ชนิดสร้างมูลค่าได้ถึง 3,526 ล้านบาท

งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติที่เพิ่งจัดขึ้นยังสะท้อนผลลัพธ์เชิงประจักษ์ มีผู้เข้าร่วมกว่า 300,000 คน เงินสดสะพัดเกือบ 50 ล้านบาท และยังมีการจับคู่ธุรกิจถึง 219 คู่ คาดการณ์มูลค่าเงินหมุนเวียนในระบบประมาณ 198 ล้านบาท ความสำเร็จเหล่านี้ตอกย้ำว่า สมุนไพรไม่ใช่แค่ “ยาแผนโบราณ” แต่กำลังกลายเป็น “สินทรัพย์เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ การท่องเที่ยว และความมั่นคงทางสุขภาพ

สมุนไพรกับการสร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรม

การผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็น Soft Power ไม่ได้เกิดจากมูลค่าเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เพราะสมุนไพรคือรากฐานของภูมิปัญญาไทย มีประวัติความเป็นมาในวิถีชีวิตและการรักษาแบบไทยมาแต่โบราณ รัฐบาลจึงเดินหน้าสร้าง “เมืองสมุนไพร” ใน 14 จังหวัด เพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างชุมชน วิถีชีวิต และเศรษฐกิจฐานราก ขณะเดียวกัน การแปรรูปสมุนไพรไทยให้กลายเป็นเครื่องสำอาง อาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์สปาก็ช่วยต่อยอดแบรนด์ไทยให้กลายเป็นที่รู้จักในตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันกับประเทศที่มีอุตสาหกรรมสมุนไพรเข้มแข็ง เช่น จีน อินเดีย หรือเกาหลีใต้ ทำให้ไทยจำเป็นต้องยกระดับคุณภาพวัตถุดิบ การผลิต และมาตรฐานการรับรองให้เป็นสากล รวมถึงสนับสนุนการวิจัยเชิงลึก เพื่อให้สมุนไพรไทยไม่ได้เป็นแค่ “ภูมิปัญญา” แต่เป็น “องค์ความรู้” ที่มีฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ

ต้นทุนระบบสุขภาพไทยที่สมุนไพรอาจช่วยแบ่งเบา

แม้ว่าประเทศไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และสามารถดูแลประชากรส่วนใหญ่ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือเสียในอัตราที่ต่ำมาก แต่ในเชิงโครงสร้างแล้ว ระบบสุขภาพของไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายสำคัญทั้งในด้านงบประมาณ การเข้าถึงบริการ และภาระค่าใช้จ่ายที่ยังตกอยู่กับครัวเรือนจำนวนไม่น้อย

ในปีล่าสุด รัฐบาลไทยจัดสรรงบประมาณด้านสุขภาพคิดเป็นประมาณ 4.36% ของ GDP ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศรายได้ปานกลางถึงสูงที่อยู่ระหว่าง 9–10% ของ GDP งบประมาณที่จัดสรรนี้ครอบคลุมทั้งด้านการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการบริหารจัดการระบบสุขภาพในภาพรวม เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ จะเห็นว่าประเทศไทยยังมีช่องว่างในการลงทุนเพื่อยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพของระบบบริการสุขภาพให้ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากรอย่างแท้จริง

ข้อมูลจาก รายงานของธนาคารโลกและองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ในปี 2019 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเฉลี่ยต่อหัวของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 296–311 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9,500–10,000 บาทต่อคนต่อปี ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน โดยตัวเลขนี้รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากภาครัฐและภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่ายา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และบริการด้านสุขภาพอื่น ๆ

เมื่อมองลึกลงไปในระดับปัจเจก ผู้ป่วยนอกที่เข้ารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้งอยู่ที่ 300–800 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษาและยาที่ได้รับ ส่วนผู้ป่วยในที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสามารถรับบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือมีภาระเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องเข้ารับบริการในโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นอย่างมาก โดยผู้ป่วยนอกมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,200–2,500 บาทต่อครั้ง และหากต้องนอนพักรักษาตัว ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ ประมาณ 20,000–30,000 บาทต่อคืน ซึ่งอาจสูงขึ้นตามลักษณะการรักษาและสถานที่ตั้งของโรงพยาบาล

นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า ค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นถึง 14.2% ในปี 2025 โดยสาเหตุหลักมาจากต้นทุนด้านการแพทย์ที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่ายา อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือค่าแรงของบุคลากร แนวโน้มนี้สอดคล้องกับสถานการณ์ทั่วโลกที่ระบบบริการสุขภาพกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง

ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้รัฐจะดำเนินนโยบายควบคุมต้นทุนด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางปฏิบัติ ประชาชนยังคงต้องแบกรับภาระ ค่าใช้จ่ายนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นค่ายาพิเศษ การรักษาในโรงพยาบาลเอกชน หรือค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกล ทำให้ ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข

เมื่อพิจารณาในภาพรวม จะเห็นว่าระบบบริการสุขภาพของไทยยังมีข้อจำกัดทั้งในเชิงงบประมาณและการกระจายบริการ หากสามารถส่งเสริมให้ สมุนไพรไทยกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกของการดูแลสุขภาพเบื้องต้น โดยเฉพาะในระดับชุมชน ก็อาจช่วยลดความหนาแน่นของผู้ป่วยในโรงพยาบาล ลดการพึ่งพายานำเข้า และเพิ่มโอกาสในการดูแลตนเองของประชาชนในพื้นที่ที่เข้าถึงบริการได้ยาก

ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อให้สามารถ รับรองสมุนไพรบางชนิดให้ใช้ในสถานพยาบาลอย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นในคลินิกเวชกรรมแผนไทย หรือศูนย์สุขภาพชุมชน ก็จะช่วยยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นให้กลายเป็นเครื่องมือที่มีบทบาทเชิงระบบในบริการสุขภาพ ไม่ใช่เพียงสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเท่านั้น

ข้อเสนอเพื่อให้สมุนไพรเป็น Soft Power อย่างแท้จริง

เมื่อพิจารณาจากบริบททั้งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และระบบสุขภาพ จะเห็นได้ว่าศักยภาพของสมุนไพรไทยมีอยู่จริง เพียงแต่จะไปถึงเป้าหมาย “Soft Power” ได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายประการ โดยเฉพาะความต่อเนื่องของนโยบาย การสร้างระบบรับรองที่น่าเชื่อถือ และการพัฒนาบุคลากรเชิงวิชาการ

รัฐควรเร่งสนับสนุนการวิจัยพื้นฐานและเชิงพาณิชย์ไปพร้อมกัน ยกระดับห้องปฏิบัติการ การผลิต GMP และผลักดันการรับรองในระดับสากล ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าการพัฒนาเพื่อส่งออก ต้องไม่กลบความสำคัญของระบบบริการสุขภาพภายในประเทศ เพราะสมุนไพรคือรากของการดูแลตนเอง และยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันกับภูมิปัญญาโบราณ

หากรัฐเดินหน้าบนฐานวิชาการ วิสัยทัศน์เศรษฐกิจ และศักยภาพชุมชน สมุนไพรไทยจะไม่เพียงเป็นสินค้าทางเลือก แต่จะกลายเป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพไทยในศตวรรษใหม่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก TNN ช่อง16

สาวแชร์อุทาหรณ์ ใส่ส้นสูง โค้งคอ 17 ครั้ง สุดท้ายเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ (Stroke)

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Digital Bridge Camp เสริมทักษะ AI ให้นักเรียนเป็น “ผู้ใช้” ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีคุณภาพ

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

พนักงานซีพี ผนึกชุมชน ร่วมเก็บขยะระดับโลก SPOGOMI กระตุ้นจิตสำนึกพลเมืองโลกสู่ Zero Waste

ไทยพับลิก้า

กลิ่นมรณะคลุ้งห้องเช่า! คราบปริศนาสยองใต้ประตู เผยร่างดับคาห้องนาน 3 วัน

เดลินิวส์

สยอง! กล้องวงจรปิดจับนาทีชีวิต กระบะตู้ทึบพุ่งชนคนขับเก๋งไฟฟ้า ขณะจอดซื้อน้ำแข็ง เจ็บสาหัสคาร้านอาหารที่สระบุรี

Manager Online

กรรมการวัดศิริสุทโธ สั่งห้ามพ่อค้า-แม่ค้า ตื้อขาย หลังดราม่าคิวเท เหมาหวยคำชะโนด

MATICHON ONLINE

เพื่อนสนิทรับเลี้ยงลูกให้ สุดท้ายกลับมาตาปิด2ข้าง ช้ำไปทั้งตัว

TNews

อียูอ่อนปวกบอกเชื่อสหรัฐฯพร้อมเจรจาต่อ หลายชาติรุมเร้าเตรียมแผนตอบโต้คำขู่ทรัมป์

Manager Online

อาจารย์ออร่า ปล่อยแล้ว! ตารางทักษามหารานี งวด 16 ก.ค. เลขเด่นครบทั้งสอง-สามตัว

เดลินิวส์

วางยาเบื่อสุนัขในรั้วเทศบาลดับ 2 หาย 12 ตัว เร่งหาตัวคนทำ หลังวงจรปิดเสียวันเกิดเหตุพอดี

Khaosod

ข่าวและบทความยอดนิยม

หนุน ไพล กระชายดำ กระท่อม เป็น Herb of the year สร้างรายได้และส่งออกต่างประเทศ

TNN ช่อง16

"สมศักดิ์" เคาะ "ไพล-กระชายดำ-กระท่อม" Herb of the Year สร้างเศรษฐกิจไทย

TNN ช่อง16

"สมุนไพรไทย"ดังข้ามทวีปส่ง"ผลิตภัณฑ์ภูไพร"ขายถึงรัสเซีย | เรื่องดีดีทั่วไทย | 28-05-68

TNN ช่อง16
ดูเพิ่ม
Loading...