วงจรปิดวัดม่วงดูไม่ได้ ถูกกระดาษปิดไว้ พระนิทัศน์ แฉต่อ 'เจ้าอาวาส' เคยถูกจับคดีรับซื้อของโจร
‘พระนิทัศน์’ ท้า หากเงิน-ทองคำเจ้าอาวาสวัดม่วงหายจริง จะยอมสึกกลับบ้าน แฉเจ้าอาวาสเคยถูกกองปราบตามมาจับคดีรับซื้อของโจรหลายปีก่อน จ่อเข้าให้ข้อมูล ‘บิ๊กเต่า’ ที่ บก.ปปป. สัปดาห์หน้า ด้าน ‘ไวยาวัจกร’ เครียด ให้ปากคำไม่ตรงกันเลย
เมื่อเวลา 15.20 น. วันที่ 5 กรกฎาคม ที่วัดม่วง ซอยเพชรเกษม 63 แขวงหลักสอง เขตบางแค กทม. พระนิทัศน์ ประเสริฐ อดีตพระคนสนิทเจ้าอาวาสวัดม่วง กล่าวให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเงินสดจำนวน 10 ล้านบาท และ ทองคำหนัก 250 บาท ของ“พระราชวัชรพัฒนาทร (ณรงค์ ปสนฺโน)” เจ้าอาวาสวัดม่วง บางแคหาย ว่า การที่ตนออกมาวิจารย์เจ้าอาวาสเรื่องนี้ ไม่เคยรู้สึกกังวลว่าถูกขับไล่ให้พ้นวัด ตนบวชมา 25 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ตนถูกเจ้าอาวาสวัดม่วงคัดชื่อออกจากวัด แต่ถ้ากังวล ก็คงหนีไปตั้งแต่ 5 ปีแรกแล้ว ก็อยู่มาเพื่อรอวันนี้ที่จะได้ออกพูด และหลังจากที่ตนออกมาพูดเรื่องเจ้าอาวาส ก็มีพระรูปอื่นที่อยากออกมาพูดโทรมาพูดคุย เพราะเห็นว่าตนกล้าออกมาพูดความจริง โดยภายในอาทิตย์หน้านี้ ตนจะต้องเข้าไปให้ข้อมูลกับ พล.ต.ต.จรูญเกีรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ที่ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.)
พระนิทัศน์ ให้สัมภาษณ์อีกว่า ส่วนข้อมูลที่จะนำไปทางเจ้าหน้าที่ บก.ปปป. ยังไม่ขอเปิดเผย แต่ยืนยันว่า เอาผิดเจ้าอาวาสได้ และดิ้นไม่หลุด ซึ่งพระนิทัศน์ อ้างว่า ก่อนหน้านี้หลายปีก่อน เคยมีตำรวจกองปราบมาล้อมจับเจ้าอาวาส ที่กุฎิเรื่องคดีรับซื้อของโจร โดยเจ้าหน้าที่สืบสวนจนตามมาจับถึงวัด แต่เรื่องอายุความไม่ทราบว่าหมดไปแล้วหรือไม่ แต่ทางสงฆ์ถือว่ารับไม่ได้ แต่ยังมีการเข้าไปรับตำแหน่งนั้นมองว่าไม่ถูกต้อง
ส่วนเรื่องทองคำและเงินที่หายตนมองว่า “เป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นโจรจริงต้องทิ้งร่องรอย แต่นี่กลับไม่พบร่องรอยงัดแงะ หรือเจ้าอาวาสอาจจะเอาไปใช้เองแล้วลืมก็เป็นได้ หรือไม่ก็แกล้งลืม” พระนิทัศน์ กล่าว
ต่อข้อถามว่า หากทองกับเงินหายไปจริง พระนิทัศน์ สงสัยใครหรือไม่ พระนิทัศน์ กล่าวว่า ไม่มีทาง ให้โจรมาเป็นกองทัพก็เอาไปไม่ได้ ถ้าถูกขโมยจริงก็ไปเอาหลักฐานมา ส่วนเรื่องกล้องวงจรปิดมีการนำกระดาษมาปิด ที่เจ้าอาวาสอ้างว่าไปต่างประเทศ แต่ช่วง 4-5 ปีหลังตัวเจ้าอาวาสไม่ได้เดินทางไปไหนเลย แต่เมื่อหากไปต่างประเทศจริง ทำไมถึงไม่เอากระดาษออกจากกล้องวงจรปิด เวลาจะนอนก็ค่อยปิด แต่กลับอ้างว่ากลัวผ้าหลุด
ตนกับเจ้าอาวาสไม่มีข้อผูกมัดหรือบุญคุณต่อกัน เพราะเจ้าอาวาสตัดชื่อตนออกจากวัดไปเมื่อ 20 ปีก่อน แต่กลับมาบ่นเรื่องตนไม่ยอมลงไปกิจของวัด ซึ่งตามกฎในการลงสวดพระปฎิโมก จะมีการเช็คชื่อพระทุกองค์ หากไม่มีชื่อก็ไม่สามารถร่วมสวดได้ หากตนเข้าไปสวดก็จะถูกไล่เหมือนหมา
ต่อข้อถามว่า ทางเจ้าอาวาสต้องการให้วัดนี้เป็นวัดหลวง จริงหรือไม่ พระนิทัศน์ กล่าวว่า เขาทำทุกทางเพราะเขาอยากได้ตำแหน่ง จะได้ไม่ต้องไปไหว้ใคร ซึ่งถ้าเป็นพระแก่พรรษา แต่เจอพระรูปอื่นที่มีตำแหน่งสูงกว่าก็ต้องเข้าไปกราบ จึงพยายามทำให้ตัวเองมียศ
พระนิทัศน์ กล่าวอีกว่า เจ้าอาวาสชอบรถโบราณ และสะสมขอซื้อจากบ้านญาติโยม จำนวนหลายคัน และมีบางคันให้กับโทรทัศน์เช่าไปถ่ายหนัง
ส่วนกรณีตำรวจ สน.เพชรเกษม เรียกให้ นายศักดา เลิศฤทธิ์สมบูรณ์ ไวยาจักรวัดม่วง ไปสอบปากคำเพิ่มเติม เมื่อคืนที่ผ่านมานั้น พระนิทัศน์ ระบุว่า นายศักดา ไวยาจักร เป็นลูกน้องของเจ้าอาวาส และเป็นลูกศิษย์เก่า รวมถึงภรรยาของนายศักดา เจ้าอาวาสก็เป็นคนหาให้ด้วย แต่นายศักดา ได้เป็นไวยาจักรเมื่อปีที่แล้ว
ทั้งนี้หากเรื่องทองและเงินดังกล่าวหายไปจริง ตนก็พร้อมรับผิดชอบคำพูด โดยจะยอมลาสิกขา (สึก) กลับบ้านทันที และเตรียมซื้อชุดเสื้อผ้าไว้รอแล้ว
ขณะที่บริเวณกุฎิเจ้าอาวาสวัดม่วง พ.ต.อ.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว ผกก.สน.เพชรเกษม ได้เดินทางเข้าไปสอบปากคำ พระราชวัชรพัฒนาทร เจ้าอาวาสวัดม่วง เพิ่มเติม โดยให้ข้อมูลว่า เป็นการสอบปากคำในส่วนประเด็นเฉพาะเรื่องคดีเงิน-ทองหาย ที่ สน.เพชรเกษม รับผิดชอบเท่านั้น รวมถึงตัวไวยาจักรก็มีการสอบปากคำไปแล้ว ซึ่งเป็นปกติหากมีประเด็นที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็จะเรียกทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูลทั้งหมด
เมื่อถามว่า ทางเจ้าอาวาส มีความเครียดหรือไม่ พ.ต.อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า เจ้าอาวาสมีอาการเครียดหลังเกิดเรื่อง เพราะเงิน-ทองหายไป โดยเจ้าอาวาสขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากพื้นที่กุฎิ หากไม่ออกก็จะไม่ยอมให้การกับเจ้าหน้าที่ด้วย ทั้งนี้ยืนยันว่าจะทำคดีให้ดีที่สุดอย่างเต็มที่
รายงานข่าวแจ้งว่า ช่วงเวลา 21.00 น. ทางพนักงานสอบสวน สน.เพชรเกษม ได้เชิญตัว นายศักดา เลิศฤทธิ์ ไวยาวัจกร วัดม่วงมอบสอบปากคำอีกครั้ง โดยให้นำ “เอกสารการเบิกเงินและเอกสารการซื้อทอง” ของ พระราชวัชรพัฒนาทร เจ้าอาวาสวัดม่วง มามอบให้กับพนักงานสอบสวนด้วย ซึ่ง นายศักดา มีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนประเด็นในการสอบสวนมุ่งเน้นในเรื่องของคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 7 คน ซึ่ง แต่ละคนให้การไม่ตรงกันเลย โดยเฉพาะการไปเบิกเงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่นายศักดาเป็นคนมาแจ้งความว่า ให้ “นายเบียร์” ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดกับเจ้าอาวาส ไปเบิกเงินที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาศาลายากับ “นายเดี่ยว” ซึ่งเป็นคนขับรถของเจ้าอาวาส เบิกมาจำนวน 10 ล้านบาท แต่ไม่ยอมบอกว่า เจ้าอาวาสนั่งรถไปด้วย โดยนายเบียร์เป็นคนเข็นกระเป๋าเงิน ซึ่งหนักถึง 10 กิโลฯ แต่ตอนหลังมาบอกว่า ไม่รู้ว่าด้านในเป็นเงิน และทองที่เก็บไว้ 300 บาทหายไป 50 บาท แต่ไม่ยอมแจ้งความ
อ่านข่าว – ตร.คืนมือถือ ‘ลูกศิษย์วัดม่วง’ คนไปเบิกเงินกับ ‘เจ้าอาวาส’ เจ้าตัวยันไม่รู้ใครเอาเงินไป
ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิดในสำนักงานฯ โดยใช้การฟังเสียง ว่ามีเสียงใดแปลกปลอมหรือผิดปกติหรือไม่ แต่ไม่สามาถตรวจสอบภาพได้เพราะกล้องถูกปิดบัง
ด้าน พ.ต.อ.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว ผกก.สน.เพชรเกษม กล่าวว่า ขณะนี้ทางสน.เพชรเกษมมีหน้าที่พิสูจน์ทราบว่า เงินที่เบิกมา 10 ล้านบาท และทองอีก 300 บาท มีจริงหรือไม่และหายไปได้อย่างไร ซึ่งทางนายศักดาได้นำเอกสารการเบิกเงินและเอกสารการซื้อทอง มามอบให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว ยืนยันได้ว่าเงินและทองจำนวนดังกล่าวมีอยู่จริง ส่วนการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด สามารถตรวจได้แค่ วันที่ 3 มิ.ย.เท่านั้น ซึ่งจะต้องสืบสวนและหาแนวทางอื่นต่อไปว่าเงินและทองจำนวนนี้ไปอยู่ที่ใคร
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : วงจรปิดวัดม่วงดูไม่ได้ ถูกกระดาษปิดไว้ พระนิทัศน์ แฉต่อ ‘เจ้าอาวาส’ เคยถูกจับคดีรับซื้อของโจร
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th