เฟทโก้ แนะ 3 วิธีรับมือทรัมป์รีดภาษี ประคองเศรษฐกิจไทย-รักษาความเชื่อมั่น-การเมืองอยู่ในกรอบ
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ เฟทโก้ เปิดเผยถึงกรณี นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ส่งจดหมายถึงประเทศไทย ยืนยันเก็บภาษีไทย 36% เท่าเดิมว่า ทางเลือกไทยมีไม่มาก คือ 1.ยอมรับสภาพ 36% 2.กลับไปเจรจาเพิ่มเติมให้ได้ประมาณ 25% และ3.เดินตามเวียดนามทำเต็มที่ให้ได้ 20% ซึ่งมองว่าเราอยู่ในช่วงทางเลือก และเป็นจดหมายที่ออกมาเตือนว่ายังไม่พอใจข้อเสนอของไทยและอยากขอเพิ่ม เราจึงต้องกลับไปนั่งคิดว่าจะเจรจาเพิ่มขึ้นแค่ไหน และอยากได้ที่อัตราประมาณไหน
สำหรับในเรื่องดังกล่าวสิ่งที่จะตามมา คือภาคส่งออกกระทบหนักในช่วงหลังจากนี้ทุกสินค้าที่ส่งไปสหรัฐจะแพงขึ้น 36% และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นภาระของภาคส่งออกที่ต้องปรับตัว และยังกระทบเอสเอ็มอีในประเทศหากจีนเข้ามาทำตลาดไทยมากขึ้น และหลายบริษัทต่างชาติที่แจ้งความจำนงเข้าทำตลาดไทยอาจเปลี่ยนใจย้ายไปลงทุนเวียดนาม และกระทบต่ออนาคตเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ ตลาดทุนจึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญ 3 เรื่องหลัก คือ การรักษาโมเมนตัมของเศรษฐกิจ โดยทุกหน่วยงานควรจะช่วยกันเพราะขณะนี้หัวใจที่สำคัญคือ เศรษฐกิจไทย ซึ่งหากชะลอตัวลงและเริ่มไปต่อไม่ได้ การที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจให้ปรับตัวขึ้นอีกครั้งจะยากมาก เหมือนกับรถที่จอดแล้วให้กลับมาวิ่งใหม่จะต้องช่วยเข็นจั๊มพ์สตาร์จ แต่หากยังวิ่งอยู่การเติมพลังนิดๆหน่อยๆก็ยังพอไปได้ และจะต้องคิดถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเรื่องต่างๆทั้งภาครัฐ การคลัง นโยบายการเงิน ค่าเงิน
ขณะเดียวกันคือ การรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุน เพราะหลายคนเมื่อเห็นเศรษฐกิจชะลอตัวก็จะขาดความเชื่อมั่น ซึ่งจะมีผลต่อตลาดทุนสภาพคล่องและการปล่อยสินเชื่อต่างๆ จึงต้องเริ่มจากการรักษาโมเมนตัมให้ไปต่อได้, และหลังจากนั้นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบที่จะสื่อสารเอาข่าวดีออกมาในบางส่วน ทำมาตรการที่ใช่ รักษาความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ภาคเอกชน และประชาชน
สุดท้ายในเรื่องการเมืองขอให้ขัดแย้งอยู่ในกรอบ เพราะหากขัดแย้งและลุกลามจะเกิดปัญหาซ้ำเติมจากข้างนอกที่เกิดขึ้น เพื่อในไทยสามารถผ่านไปได้ เพราะเชื่อว่าในครึ่งปีหลังนี้จะเกิดปัญหาขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เห็นตลาดทุนรับได้ก็จะมีมาตรการเพิ่มเติมเป็นรายกลุ่มได้อีก ฉะนั้นเราต้องพยายามดูแลเศรษฐกิจไทยให้พอไปได้และต้องปรับหมวดมาใช้วิธีบริหารวิกฤตที่กำลังรออยู่ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยให้เร็วจะมีส่วนที่ช่วยรักษาโมเมนตัมให้ทุกอย่างพอไปได้ ให้มีแรงไปข้างหน้ารองรับสิ่งที่จะเข้ามา
“ผมคิดว่าเป้าหมายขณะนี้ต้องเอาให้ใช่ ไม่ต้องเอาเกรดเอ เอายังพอไปได้ ขอให้เศรษฐกิจพอผ่านช่วงนี้ไปได้แล้วเราก็จะสามารถบริหารจัดการในช่วงข้างหน้าได้“
อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้ทีมรัฐบาลถอดใจในการเจรจากับสหรัฐ และในฐานะเอกชนมองว่าการเก็บภาษีที่ 25% พอรับได้ หมายความว่าจะเสียเปรียบเวียดนามเพียงเล็กน้อยและเอกชนสามารถบริหารจัดการได้ในความแตกต่างที่ 5% และเราต้องมานั่งคิดว่าอะไรที่เรารับไม่ได้จริงๆและอะไรที่รับได้ เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ไทยไม่ได้ผลิตเองน่าจะรับได้ หรือกระทั่งยานยนต์ และภาคเกษตรที่เราต้องดูแลเป็นพิเศษ
“หัวใจที่สำคัญผมคิดว่าเราจะต้องทำให้เศรษฐกิจหมุนไปข้างหน้าได้ เพื่อให้มีรายได้มาเยียวยากลุ่มที่มีความเสียหาย คือเดินไปข้างหน้าแล้วหลังจากนั้นเมื่อทำให้เศรษฐกิจโต ส่งออกโต ก็ให้นำเงินจากภาคที่ไปได้กลับมาเยียวยากลุ่มที่ได้รับผลกระทบรอบนี้ ซึ่งคิดว่าคงจะต้องไปในลักษณะนั้น เพราะการเจรจาการค้าแต่ละครั้ง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนเสียหายเลย และเพื่อให้ภาพรวมไปได้เราจำเป็นจะต้องยอมรับผลกระทบจากบางส่วน“