เมื่อทักษิณเลือก "นิ่ง" สังคมยิ่งถามดัง ทำไมหงอ "ฮุน เซน"?!?
ในสนามการเมืองไทย ชื่อของ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่เคยหลุดจากเวทีหลักของการวิพากษ์ แม้เวลาจะล่วงเลยมากกว่าทศวรรษนับตั้งแต่เขาถูกโค่นอำนาจเมื่อปี 2549 ทักษิณยังคงแสดงบทบาทอย่างแข็งขันทั้งผ่านสื่อ สัมภาษณ์ และโพสต์ข้อความตอบโต้ทุกครั้งที่มีประเด็นพาดพิงถึงตนเองหรือครอบครัว
แต่ความผิดปกติกลับเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อ “ฮุน เซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ออกมาเปิดโปงสารพัดเรื่องร้อนผ่านสื่อของประเทศตนเอง พาดพิงถึงทักษิณ และเชื่อมโยงถึงความสัมพันธ์เชิงลับกับรัฐบาลไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะกับลูกสาวของเขา “แพทองธาร ชินวัตร”
แต่แทนที่ทักษิณจะลุกขึ้นชี้แจงหรือโต้กลับอย่างที่เคย ท่าทีของเขากลับกลายเป็น “ความเงียบสนิท” … และนั่นคือความเงียบที่กำลังทำให้ “เสียงของสังคม” ดังขึ้นเรื่อย ๆ
ฮุน เซน ปล่อยหมัดตรง: เกมเปิดหน้าหรือกลยุทธ์กดดัน?
เมื่อฮุน เซน เปิดเผยเนื้อหาการสนทนาในคลิปเสียงที่เกี่ยวโยงถึงชื่อแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย และเอ่ยถึง บางประเด็นในเชิงที่อาจกระทบต่ออธิปไตยของไทย นั่นไม่ใช่เรื่องเล็ก
จากคลิปเสียงดังกล่าว ทำให้เป็นที่มาของเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายภาคส่วนว่ารัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธารยอมอ่อนข้อให้กับอำนาจต่างชาติ และทำให้ประเทศไทยดูเหมือน “อ่อนแอเชิงยุทธศาสตร์”
ถ้าพิจารณาในมิติการเมืองระหว่างประเทศ การเปิดโปงเช่นนี้ไม่ใช่เพียงการแฉเบื้องหลัง แต่คือการกดดันเชิงอำนาจโดยมี “ทักษิณ” เป็นจุดร่วม
ทักษิณเคยไม่เคยเงียบ แล้วทำไมครั้งนี้นิ่งสนิท?
สังคมไทยเคยชินกับภาพของ “ทักษิณผู้ไม่ยอมให้ใครดูแคลน”
เขาตอบโต้ทุกข้อกล่าวหาในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาว
เขาเคยเปิดเกมสวนกลับคนที่ล้อเลียนเขาเรื่องคดีคอร์รัปชัน
เขาเคยทวีต-โทรศัพท์-ส่งสาส์นผ่านสื่ออย่างต่อเนื่องแม้อยู่ต่างแดน
แต่วาระนี้กลับ “นิ่งสนิท” ไม่แม้แต่โพสต์ใด ๆ ผ่าน X หรือให้สัมภาษณ์ต่อสื่อของฝ่ายสนับสนุน
คำถามจึงดังขึ้นเรื่อย ๆ ว่า
-ทักษิณเกรงกลัวอำนาจของฮุน เซน หรือไม่?
-เขามีดีลลับอะไรที่ถูกจับได้หรือไม่?
-หรือความเงียบครั้งนี้คือการยอมรับโดยปริยาย?
เงียบ = ยอมรับ? เมื่อการไม่ปฏิเสธคือการส่งสัญญาณ
ในแวดวงการเมือง การนิ่งเฉยในประเด็นที่อ่อนไหวเท่ากับการ “ปล่อยให้สังคมตีความ” และนั่นอันตรายมากกว่าการโต้กลับเสียอีก
ท่าทีของทักษิณที่เงียบในจังหวะที่ควร “อธิบาย” กำลังเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ประเด็นนี้โจมตีอย่างได้ผล เช่น
-ฝ่ายค้านชูประเด็นนี้ในสภาเพื่อกดดันแพทองธาร
-กลุ่มผู้ชุมนุม “รวมพลังแผ่นดิน” ใช้ประเด็นนี้ปลุกกระแส “ขายชาติ”
-สายอนุรักษนิยมตั้งคำถามถึงความปลอดภัยเชิงยุทธศาสตร์ของชาติ
แม้คนที่ถูกพักหน้าที่อย่างแพทองธารจะยังมีชื่อเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม แต่ภาพลักษณ์ของเธอกลับถูกบั่นทอนทุกขณะ โดยที่พ่อผู้เคยปกป้องลูกเสมอ…กลับนิ่งเฉย
ความสัมพันธ์ “ทักษิณ-ฮุน เซน”: พันธมิตรเก่า กลายเป็นหอกข้างแคร่?
ในอดีต ฮุน เซน คือพันธมิตรคนสำคัญของทักษิณ เขาเคยให้ที่พักพิงหลังรัฐประหารปี 2549 มีข่าวว่ามีการร่วมลงทุนในกัมพูชา และแม้ในช่วงยิ่งลักษณ์ ฮุน เซน ก็แสดงจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลที่ใกล้ชิดทักษิณ
แต่ภาพในปัจจุบันเปลี่ยนไปสิ้นเชิง
ฮุน เซน ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่อาจทำให้รัฐบาลแพทองธารล้มได้
เขาใช้สื่อในประเทศตนเองในการเปิดประเด็น
และที่สำคัญ…เขาทำเช่นนั้น “โดยไม่ถูกทักษิณตอบโต้ใด ๆ เลย”
นักวิเคราะห์บางคนจึงตั้งข้อสังเกตว่า อาจมี “ดีลบางอย่างที่ผิดคำมั่น” หรือ “ข้อตกลงทางผลประโยชน์” ที่ไม่สำเร็จ จนกลายเป็นสาเหตุที่ฮุน เซน เปิดเกมเชิงรุก
ราคาที่ต้องจ่ายของความเงียบ
ความเงียบของทักษิณอาจช่วยเลี่ยงการปะทะในระยะสั้น แต่ส่งผลเสียมหาศาลในระยะยาวดังนี้
1. บั่นทอนเครดิตตนเอง จากผู้นำที่เคยแหลมคม กลายเป็นภาพของผู้นำที่ “เลือกเงียบเพื่อเอาตัวรอด”
2. กระทบลูกสาวทางตรง แพทองธารต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากทั้งภายในและภายนอก กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ต้อง “แบกรับเงาของพ่อ” โดยไม่ได้รับการปกป้อง
3.เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามขยายผล ทุกคำถามที่ไม่ถูกตอบ จะกลายเป็น “ช่องให้สมมุติฐานลบ” ลุกลามในสังคม
หากนี่คือกลยุทธ์…มันอาจย้อนกลับมาเล่นงาน
บางฝ่ายอาจมองว่าทักษิณใช้ “ความเงียบ” เป็นกลยุทธ์ ให้เวลาผ่านไปเพื่อให้เรื่องจาง แต่ในยุคที่ข่าวสารวิ่งเร็ว วาทกรรมแรง และสังคมจับจ้อง ความเงียบไม่ใช่เกราะกำบังอีกต่อไป
ยุคนี้คนไม่รอคำแถลง: หากไม่พูด ความเข้าใจผิดจะถูกสร้างขึ้น
โซเชียลไม่ให้เวลา: ความเงียบ = พาดหัวใหม่ให้ฝ่ายตรงข้ามทุกวัน
การเมืองไม่ทนต่อสุญญากาศ: หากไม่มีคำอธิบาย สภาจะเรียกฝ่ายค้านเข้ามาตรวจสอบอย่างเข้มข้น
ทางออก: ยังทันไหม?
หากทักษิณต้องการรักษาทั้งภาพลักษณ์ของตนเอง และเสถียรภาพทางการเมืองของลูกสาวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทางออกที่ดีที่สุดคือ
1.แถลงอย่างเป็นทางการ อธิบายความสัมพันธ์กับฮุน เซน และชี้แจงข้อเท็จจริง
2.ขอรับผิดชอบหากมีข้อบกพร่อง แสดงความกล้าหาญทางจริยธรรม
3.ยุติบทบาทแทรกแซง ลดความเชื่อมโยงในสายตาประชาชนระหว่างเขากับรัฐบาลลูกสาว
เพราะหากปล่อยให้ “ฮุน เซน” พูดฝ่ายเดียว โดยไม่มีการโต้กลับจากทักษิณ…ความเงียบนั้นจะกลายเป็นคำพิพากษาทางสังคมอย่างไม่มีวันย้อนกลับ
เสียงเงียบของทักษิณ-เสียงดังของสังคม
ในโลกการเมือง ความเงียบคือกลยุทธ์ได้ในบางจังหวะ…แต่ไม่ใช่ในเวลาที่ข้อกล่าวหากำลังสั่นคลอนเสถียรภาพของประเทศ และลูกสาวของทักษิณกำลังเผชิญแรงกดดันหนักที่สุดในชีวิตทางการเมือง
“ทักษิณผู้ไม่เคยยอมใคร” กำลังนิ่งผิดวิสัย และความนิ่งครั้งนี้ไม่เพียงเป็นสัญญาณให้ฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหว แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ว่า “ผู้นำในอดีต” จะกล้ายอมรับภาระทางจริยธรรมในฐานะ “พ่อของผู้นำในปัจจุบัน” หรือไม่
เพราะบางครั้ง…เสียงที่ดังที่สุดในสนามการเมืองคือเสียงของ “คนที่ควรพูด…แต่ไม่พูด”