‘เอกชน’ ระทึกเส้นตาย1 ส.ค.68 สินค้าถึงท่าเรือสหรัฐชาร์จ 36%
ความขัดแย้งระหว่างไทย และกัมพูชา ถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการเจรจาภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ระหว่างไทย และสหรัฐ ซึ่งทำให้นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเชีย ในฐานะประธานอาเซียน เชิญนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไปหารือที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ในวันที่ 28 ก.ค.2568
การหารือเพื่อหาข้อยุติการปะทะกันบริเวณชายแดนไทย และกัมพูชา ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ โทรศัพท์หานายภูมิธรรม และนายฮุน มาเนต โดยเตือนว่าจะไม่ทำข้อตกลงการค้ากับทั้ง 2 ประเทศในขณะที่ความขัดแย้งยังคงดำเนินอยู่
สำหรับภาษีตอบโต้ที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากไทยอยู่ในอัตรา 36% ในขณะที่กัมพูชาอยู่ที่ 49% ซึ่งสหรัฐปรับลดลงเหลือ 36% โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาไทยได้ยื่นข้อเสนอสุดท้ายให้สหรัฐ และคาดหวังว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปก่อนวันที่ 1 ส.ค.2568
ในขณะที่หลายฝ่ายประเมินว่าการที่ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งการให้ทีมเจรจาภาษีของสหรัฐที่กำลังเจรจากับไทย และกัมพูชาพักเรื่องนี้ไว้ก่อน เพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศหาทางเจรจาเพื่อยุติสถานการณ์การสู้รบก่อนจึงจะกลับมาคุยเรื่องภาษีที่เจรจาค้าง ซึ่งจะทำให้การเจรจาภาษีระหว่างไทย และสหรัฐ ที่อยู่ขั้นช่วงท้ายจะยังไม่ประกาศออกมา และอาจไม่ทันวันที่ 1 ส.ค.68 นี้ ทำให้ไทยต้องใช้ภาษีในอัตรา 36% ไปก่อน
ทั้งนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทีมไทยแลนด์ได้ตอบข้อซักถามกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คาดหวังอัตราภาษีที่ใกล้เคียงกับประเทศอาเซียน
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่ประธานาธิบดีสหรัฐเป็นคนกลางให้เกิดเวทีเจรจาระหว่างไทย และกัมพูชาเจรจาหยุดยิงจะเป็นประโยชน์สำหรับทั้ง 2 ประเทศ เพื่อลดความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินทหาร และประชาชน ซึ่งการเจรจา และหยุดยิงจะทำให้การค้า และเศรษฐกิจ 2 ประเทศกลับมา แม้ยังไม่ปกติแต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ส่วนภาษีสหรัฐเชื่อว่าทีมไทยแลนด์ได้เสนอให้กับสหรัฐ เพื่อสร้างความสมดุลในการค้าของ 2 ประเทศ โดยคาดว่าอัตราภาษีจะออกมาในทิศทางที่ดีให้ทันเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.2568
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา เป็นรองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวว่า หากสหรัฐยืนยันไม่สรุปการเจรจากับไทยภายในวันที่ 31 ก.ค.2568 จะทำให้สินค้าที่ไปถึงท่าเรือสหรัฐตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568 ถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 36% ซึ่งสินค้าที่ไปถึงสหรัฐช่วงดังกล่าวรับคำสั่งซื้อตั้งแต่เดือนพ.ค.- มิ.ย.2568 จากนั้นทยอยส่งมอบ ซึ่งใช้เวลาขนส่งทางเรือ 30-45 วัน
ทั้งนี้ การเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา มีผลต่อการประกาศอัตราภาษีของสหรัฐ โดยนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ระบุชัดเจนว่าประเทศใดที่เจรจาไม่จบทันกำหนดจะทำให้ภาษีตอบโต้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ส.ค.2568
รวมทั้งเบสเซนต์ ได้โทรศัพท์หานายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อย้ำประเด็นข้อเสนอของทรัมป์ที่ต้องการให้ไทย และกัมพูชาหยุดยิง ซึ่งประเมินได้ว่าสหรัฐให้ความสำคัญกับข้อสรุปของผลการเจรจาที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.2568
แนะรัฐบาลเสนอสหรัฐยืดผ่อนผันภาษี
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ไทยต้องเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ซึ่งดูเหมือนไทยจะเสียเปรียบเล็กน้อยแต่มีทางออก
ทั้งนี้ ต้องการให้รัฐบาลบอกสหรัฐว่าขอเลื่อนการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ออกไปก่อน เนื่องจากมีเหตุการณ์ระหว่าง 2 ประเทศ โดยให้เหตุผลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากกัมพูชาเป็นฝ่ายผู้เริ่มยิงก่อน ซึ่งไทยจำเป็นต้องดูแลพื้นที่ และหยุดปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้กัมพูชารุกล้ำมาในแผ่นดินไทยอีก ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติที่ทำได้
“ผมอยากให้รัฐบาลขอให้สหรัฐเลื่อนระยะเวลาการบังคับใช้ภาษีออกไปก่อน โดยเรายืนยันกับสหรัฐว่าพร้อมที่จะหยุดยิง และพร้อมที่จะเปิดโต๊ะเจรจาเพราะการเจรจาถือเป็นสันติวิธีที่ประเทศไทยเชื่อมั่น และยึดมั่นอยู่แล้วเพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อย” นายธนากร กล่าว
นายธนากร กล่าวว่า กัมพูชาส่งออกไปสหรัฐไม่มาก ดังนั้นการที่สหรัฐขึ้นภาษีกัมพูชาจึงไม่น่ามีผลอะไรมาก ซึ่งต่างจากไทยที่ส่งออกไปสหรัฐมากดังนั้นไทยควรเสนอเรื่องของการบังคับใช้ภาษีออกไป
แต่หากว่าทั้ง 2 ประเทศยังคงเดินหน้ายิงกันอยู่ส่งผลให้สหรัฐไม่เจรจาภาษีกับไทย เมื่อถึงเส้นตาย 1 ส.ค.2568 ไทยจะโดนเก็บภาษี 36% ซึ่งทำให้ไทยตกที่นั่งลำบาก แม้มีผลกระทบต่อการส่งออกไทย แต่เชื่อว่าผู้ส่งออกเตรียมแผนรับมือไว้แล้วอีกทั้งผู้นำเข้าสหรัฐก็โดนเก็บเช่นกัน อย่างไรก็ตามหวังว่าสุดท้ายไทยจะเจรจาได้อัตราที่ดีกว่าคู่แข่งของเรา
ส.อ.ท.ชี้ไทยเสี่ยงเสียเปรียบคู่แข่ง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากไทยเจรจาภาษีกับสหรัฐไม่ทันวันที่ 1 ส.ค.2568 จะทำให้สหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยถึง 36% ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม 20% อินโดนีเซีย 19% และฟิลิปปินส์ 19% ซึ่งสะท้อนว่าไทยกำลังเสียเปรียบในเชิงการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีสหรัฐเป็นคู่ค้าหลัก เช่น อาหารแปรรูป สินค้าเกษตร ยานยนต์ และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ อัญมณี เหล็ก และอะลูมิเนียม ซึ่งคาดว่ามูลค่าความเสียหายต่อการส่งออกไทยอาจอยู่ที่ประมาณ 8-9 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ แม้ว่าข้อเสนอแรกของไทยจะส่งข้อเสนอที่ 2 ไปกับสหรัฐแล้ว ซึ่งมีความแตกต่างจากข้อเสนอแรก โดยเฉพาะในเรื่องจำนวนรายการสินค้าที่จะลดภาษีให้เป็น 0% ซึ่งมีจำนวนหลายพันรายการ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เราส่งข้อเสนอเพิ่มเติมไปนั้น ยังไม่มีการตอบกลับมา แต่ก็หวังว่าสหรัฐจะพิจารณาข้อเสนอเพิ่มเติมใหม่นี้
“หากสหรัฐใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 36% สำหรับสินค้าจากไทย อาจกระทบการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังมีปัญหาการสวมสิทธิ การส่งออกของจีนผ่านไทย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ไทยจะถูกสหรัฐใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าได้ในอนาคต”
สำหรับสินค้าส่งออกของไทยที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐ ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ ยางล้อ ฮาร์ดดิสก์ ถุงมือยาง เครื่องนุ่งห่ม ผลไม้กระป๋อง และแปรรูป คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ เซรามิก เครื่องมือแพทย์ รองเท้าหนัง โลหะเบ็ดเตล็ด พลาสติก เครื่องปรับอากาศ อาหารทะเลกระป๋อง รวมทั้งเครื่องจักรกล
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์