ทีทีบีแจ้งกำไร6เดือน10,100 ล้าน-ลดลง 6.2%-เน้นโตอย่างรอบคอบ-เดินหน้าสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งกำไรสุทธิ 5,004 ล้านบาท ในไตรมาส 2 รวม 6 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 10,100 ล้านบาท โดยยังคงเน้นย้ำการมีประสิทธิภาพด้านต้นทุนเพื่อลดผลกระทบจากแรงกดดันด้านรายได้และรักษาความสามารถในการทำกำไร ด้านอัตราส่วนหนี้เสียลดลงมาอยู่ที่ 2.73% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพทรงตัวในระดับสูงที่ 149%
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก อย่างไรก็ดีจากการที่ทีทีบีเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบมาโดยตลอด จึงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีความพร้อมในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ และสามารถดำเนินการตามแผนงานด้านต่าง ๆ ได้ตามเป้าหมาย สิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ยังคงเป็นเรื่องของการให้ความช่วยเหลือลูกค้า การเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นตามแผนบริหารส่วนทุน และการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ให้มีเสถียรภาพท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ กำไรสุทธิ 5,004 ล้านบาท ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบแล้วจะเห็นว่าปรับตัวลดลง 2% จากไตรมาสก่อน และลดลง 7% จากไตรมาส 2 ปี 2567 โดยรวม 6 เดือนแรกของปีมีกำไรสุทธิ 10,100 ล้านบาท ลดลง 6.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ การลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย และสะท้อนผลจากการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้าภายใต้โครงการต่าง ๆ นำโดยโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 มีลูกค้าทั้งรายย่อยและ SMEs เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 54,000 ราย หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อราว 31,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรแกรมปรับโครงสร้างหนี้รูปแบบอื่น ๆ เพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ซึ่งหนึ่งในโครงการที่เราได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บริการ “รวบหนี้” ซึ่งมีลูกค้าเข้าร่วมกว่า 53,650 ราย ในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจาก 37,470 ราย ในปี 2567 และ 17,000 รายในปี 2566 หรือเทียบเท่ากับว่าสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้กว่า 2,510 ล้านบาท โดยล่าสุดธนาคารได้เปิดตัวโปรแกรมใหม่ “ผ่อนดี มีรางวัล” เพื่อตอบแทนกลุ่มลูกค้าสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และสินเชื่อบุคคล ที่มีวินัยทางการเงินและมีประวัติการผ่อนชำระอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับความคืบหน้าของแผนการบริหารส่วนทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นนั้น ณ สิ้นไตรมาส 2 ธนาคารเสร็จสิ้นการซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมเดินหน้าสร้างความร่วมมือระหว่างกันเพื่อต่อยอด Wealth Ecosystem เพื่อพัฒนาการให้บริการอย่างครบวงจร ด้านโครงการซื้อหุ้นคืน ดำเนินการไปแล้วกว่า 3,876 ล้านบาท จากกรอบงบประมาณ 7,000 ล้านบาท ในปี 2568 นี้
ท้ายสุดในเรื่องของการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ เป็นสิ่งที่ทีทีบีเน้นย้ำมาตลอดและสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ตามเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและยาว โดยหากมองในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ทีทีบีสามารถควบคุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ให้ทรงตัวที่ 2.6% - 2.7% ถือเป็นหนึ่งในธนาคารที่มี NPL ratio ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม และหากมองภาพระยะยาวนับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 ธนาคารสามารถลดยอดหนี้เสียได้ราว 12% จากประมาณ 44,000 ล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 39,000 ล้านบาท
สำหรับช่วงที่เหลือของปี ธนาคารจะยังคงเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบต่อไป เพื่อรักษาเสถียรภาพและความแข็งแกร่งทางการเงินควบคู่กับการบริหารจัดการด้านต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการกำไร ทั้งนี้ ด้วยฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ธนาคารมั่นใจว่าจะสามารถคงอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงได้แม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดก็ตาม ขณะที่ประเมินว่าโครงการซื้อหุ้นคืน 3 ปี วงเงิน 21,000 ล้านบาท จะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาดทุนที่มีต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้นได้เช่นกัน
รายละเอียดผลการดำเนินงานรายการหลัก ๆ ในไตรมาส 2 และงวด 6 เดือน ปี 2568 มีดังนี้
กำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2568 ที่ 5,004 ล้านบาท ลดลง 1.8% จากไตรมาสก่อนหน้า รวม 6 เดือนแรกของปีมีกำไรสุทธิ 10,100 ล้านบาท ลดลง 6.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 1,206 พันล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568 (QoQ) และชะลอลง 2.8% จากสิ้นปี 2567 (YTD) เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบและการชำระคืนหนี้ของลูกค้า
โดยสินเชื่อบ้านแลกเงิน (+2% QoQ) สินเชื่อเล่มแลกเงิน (+15% QoQ) และบัตรเครดิต (+1% QoQ) ยังคงเพิ่มตามการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปยังกลุ่มสินเชื่อรายย่อยเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทน
ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,289 พันล้านบาท ลดลง 0.7% QoQ และ 3.0% YTD สอดคล้องกับทิศทางสินเชื่อ
ด้านรายได้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 2 ปี 2568 ปรับตัวดีขึ้น 9.1% QoQ หนุนโดยการฟื้นตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมแบงก์แอสชัวรันส์จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และรายได้อื่น ๆ เช่น เงินปันผล อย่างไรก็ดี รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 3.6% QoQ จากอัตราผลตอบแทนที่ลดลงตามการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้า
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน อยู่ที่ 7,271 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2568 เพิ่มขึ้น 2.4% QoQ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่าย one-time เกี่ยวกับการ write-off ระบบไอที รวม 6 เดือน
สำหรับการตั้งสำรองฯ มีจำนวน 4,294 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2568 ลดลง 6.2% QoQ รวม 6 เดือน ตั้งสำรองฯ ทั้งสิ้น 8,874 ล้านบาท ลดลง 14.6% จากปีก่อนหน้า สะท้อนคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่ดีขึ้น โดยหนี้เสียอยู่ที่ 39,164 ล้านบาท ลดลง 0.9% QoQ และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงมาอยู่ที่ 2.73% อย่างไรก็ดี แม้ตั้งสำรองฯ ลดลง แต่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพยังคงทรงตัวในระดับสูงที่ 149%
ท้ายสุดด้านฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 อัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) อยู่ที่ 20.0% และ 17.8% ตามลำดับ ยังคงสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO