‘คินโทน’ รุกขยายธุรกิจในไทย หวังฐานลูกค้าแตะ 1,000 รายในปี 2573
นายน้ำยา วายุภาพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คินโทน (Kintone) ประเทศไทย ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการทำงานดิจิทัลบนคลาวด์ (digital workplace platform) กล่าวว่า ประเทศไทยมีความโดดเด่นในภูมิภาคอาเซียนด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่ง
ประกอบกับการที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกได้เพิ่มการลงทุนในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทย ทำให้ไทยกลายเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กร
แพลตฟอร์มคลาวด์อย่างคินโทนจึงกลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับธุรกิจที่ต้องการยกระดับระบบไอทีภายในองค์กรเหล่านี้ บริษัทภูมิใจที่โซลูชันของคินโทนได้ช่วยให้หลายองค์กรเปลี่ยนผ่านจากระบบดั้งเดิม เช่น การใช้กระดาษและแผ่นตารางทำการหรือสเปรดชีต มาสู่กระบวนการทำงานดิจิทัลที่ชาญฉลาดและคล่องตัวยิ่งขึ้น
แนวโน้มนี้เห็นได้ชัดโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร ซึ่งคินโทนได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำ เช่น บริษัท เอราวัณฟูด จำกัด (มหาชน), บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) และเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) องค์กรเหล่านี้ได้เปลี่ยนกระบวนการทำงานแบบดั้งเดิมมาสู่ระบบดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการยกระดับในวิธีการบริหารจัดการการดำเนินงานของหลายองค์กรทั่วไทย
การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Kintone ประเทศไทย สะท้อนถึงความต้องการที่แข็งแกร่งของตลาด เป้าหมายของบริษัทคือการนำคินโทนเข้าสู่องค์กรอย่างน้อย 500 แห่งในประเทศไทยภายในปีหน้า และ 1,000 แห่งในปี 2573 คินโทนมีแผนสร้างความร่วมมือเพิ่มเติมกับทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจใหม่ๆ ต่อเนื่อง
สิ่งที่ทำให้คินโทนแตกต่างคือความสามารถในการช่วยให้ผู้ใช้สร้างแอปพลิเคชันเวิร์กโฟลว์แบบกำหนดเองได้โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด บริษัทมองเห็นความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยที่มองหาเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและยืดหยุ่นเพื่อจัดการกระบวนการทำงานในหน่วยงาน และคินโทนตอบโจทย์นั้นได้
เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นที่มีต่อลูกค้าในประเทศคินโทนยังได้พัฒนาการรองรับภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบทั่วทั้งแพลตฟอร์ม ความพยายามในการปรับให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น (Localization) นี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการยอมรับจากผู้ใช้งาน
ขณะเดียวกัน ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น ระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM), เครื่องมือบริหารจัดการโครงการ (Project Management) และระบบที่สำคัญอย่างใบขอซื้อ (PR) และใบสั่งซื้อ (PO) ล้วนพร้อมให้บริการในภาษาไทยแล้ว
คาดว่าการรองรับภาษาไทยจะมีส่วนช่วยลดอุปสรรคและสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับองค์กรที่เพิ่งเข้าสู่เส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในระยะแรก