มหาสมุทรกำลังมืดลง ภัยเงียบจากภาวะโลกร้อน และโลกใต้น้ำอาจเปลี่ยนไปตลอดกาล
มหาสมุทรกำลัง "มืดลง" เป็นสัญญาณล่าสุดของผลกระทบจากภาวะโลกร้อน งานวิจัยล่าสุดเผยว่า พื้นที่ชายฝั่งและทะเลเปิดกว่า 1 ใน 5 ของมหาสมุทรทั้งหมด ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์นี้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้แสงจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ส่องลงไปในน้ำได้น้อยลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตออกซิเจน ระบบนิเวศทางทะเล และสุขภาพของมหาสมุทรในภาพรวม
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยพลีมัธซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า ระหว่างปี 2003 ถึง 2022 พื้นที่มหาสมุทรกว่า 21% มีความสามารถในการส่งผ่านแสงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยสาเหตุของการมืดลงนั้นแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ในพื้นที่ชายฝั่ง เช่น ทะเลบอลติก ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นทำให้ตะกอน ดิน แร่ธาตุ ซากพืชซากสัตว์ รวมถึงสารอาหารจากแผ่นดินไหลลงทะเลมากขึ้น ทำให้เกิดกิจกรรมชีวภาพมากขึ้นซึ่งส่งผลให้แสงทะลุผ่านน้ำได้ยากขึ้น
ส่วนในทะเลเปิด การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำทะเลได้กระตุ้นให้เกิด สาหร่ายบ่อยและรุนแรงขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่แย่งออกซิเจนในน้ำ แต่ยังบดบังแสงไม่ให้ส่องลงไปใต้ผิวน้ำ
นักวิจัยระบุว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา น้ำทะเลโดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งมีการเปลี่ยนแปลงของแสงอย่างชัดเจน โดยมีสาเหตุจากแพลงก์ตอนจำนวนมาก อนุภาคแขวนลอย และสารที่มีผลต่อการกระเจิงของแสง ส่งผลให้ “โซนส่องสว่าง” (Photic Zone) บริเวณผิวน้ำที่แสงยังส่องถึงมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ
โซนส่องสว่างนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตกว่า 90% ของมหาสมุทรอาศัยอยู่ รวมถึงแพลงก์ตอนพืชที่เป็นแหล่งผลิตออกซิเจนหลักของโลก การที่แสงส่องถึงในน้ำลดลง ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ต้องการแสง เช่น แพลงก์ตอน สาหร่าย และสัตว์น้ำอื่นๆ ไม่สามารถอยู่รอดหรือขยายพันธุ์ได้ในบริเวณที่เคยอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป
ทีมวิจัยพบว่า พื้นที่กว่า 9% ของมหาสมุทรโลก หรือราว 32 ล้านตารางกิโลเมตร (เท่ากับขนาดทวีปแอฟริกา) มีความลึกของโซนส่องสว่างลดลงมากกว่า 50 เมตร ขณะที่อีก 2.6% ลดลงมากกว่า 100 เมตร ซึ่งการลดลงเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อกระบวนการสังเคราะห์แสง การผลิตออกซิเจน และห่วงโซ่อาหารทะเลทั้งหมด
ศาสตราจารย์ทิม สมิธ จากห้องปฏิบัติการทางทะเลพลีมัธอธิบายว่า เมื่อโซนส่องสว่างลดลง สัตว์ที่ต้องพึ่งพาแสงจะต้องอาศัยอยู่ใกล้ผิวน้ำมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันกันมากขึ้นในพื้นที่ที่เล็กลง ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทะเลทั้งระบบ
สำหรับบริเวณที่โซนส่องสว่างลดลงมากที่สุด ได้แก่ บริเวณตอนบนของกระแสน้ำกัลฟ์สตรีม (Gulf Stream) รวมถึงพื้นที่รอบอาร์กติกและแอนตาร์กติก ซึ่งเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อนอย่างชัดเจน นอกจากนี้ บริเวณทะเลเหนือ (North Sea) ทะเลเซลติก (Celtic Sea) ชายฝั่งตะวันออกของอังกฤษและสก็อตแลนด์ เวลส์ และทะเลไอริชตอนเหนือ ต่างก็มีระดับความมืดเพิ่มขึ้นในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
ด้านนักวิจัยยังเตือนว่า การลดลงของโซนส่องสว่างในระดับนี้ถือเป็น “การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของโลก” และจะส่งผลต่อการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของแพลงก์ตอน ทำให้โลกอุ่นขึ้นเร็วกว่าเดิม ดังนั้น หากสภาพแวดล้อมยังไม่เอื้อต่อการเติบโตของแพลงก์ตอนและสิ่งมีชีวิตที่ต้องการแสงอีกต่อไป ปริมาณคาร์บอนที่ถูกดูดซับก็จะลดลง ปริมาณออกซิเจนจะน้อยลง และมหาสมุทรจะยิ่งร้อนและมืดขึ้นเรื่อยๆ
ดร.โอลิเวอร์ ซิลีนสกี จากสถาบันวิจัยทะเลบอลติกแห่งเยอรมนีเตือนว่า “การที่มหาสมุทรมืดลง อาจทำให้ห่วงโซ่อาหารทางทะเลเสียหาย เปลี่ยนแปลงถิ่นอาศัยของสัตว์ทะเล และลดความสามารถของมหาสมุทรในการรองรับความหลากหลายทางชีวภาพและการควบคุมสภาพอากาศโลก”
ดังนั้น ในขณะที่ท้องทะเลกำลังเผชิญภัยเงียบอย่างมหาศาล คำถามสำคัญคือ มนุษย์จะสามารถพลิกวิกฤตนี้กลับมาได้หรือไม่ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง